SET index เดือนสิงหาคม 2565 ปิดที่ระดับ 1,638.93 จุด เพิ่มขึ้น 3.97% จากเดือนก่อน กลับมาทะลุ 1,600 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติได้เข้าซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ถึง 5.7 หมื่นล้านบาท มากกว่าเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิเพียง 4.7 พันล้าน
สำหรับปัจจัยภายในปัจจัยแรกที่สนับสนุนการปรับตัวขึ้นของตลาด คือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ที่ 3.41 แสนล้านบาท เติบโต 15.3% YoY 36.1% QoQ โดยกลุ่มที่มีกำไรเติบโตโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มพลังงาน กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มอาหาร กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ ส่วนกลุ่มที่กำไรมีการหดตัว ได้แก่ กลุ่มเกษตร และกลุ่มเหล็ก จากผลประกอบการที่ฟื้นตัวโดดเด่น ทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการกำไรของปี 2565 เพิ่มขึ้นอีก 6.24% ถัดมาคือเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ กนง.ส่งสัญญาณปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ภาพรวมนโยบายการเงินไทยถือว่าไม่ได้ตึงตัวมากจนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษกิจ และท้ายที่สุดคือการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดในช่วงครึ่งปีหลัง หลังจากทาง ศคบ. ได้ปรับระดับโควิด-19 จากโรคติดต่อร้ายแรงเป็นเฝ้าระวัง และผ่อนคลายมาตรการกักกันต่าง ๆ ลง ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีโอกาสกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดเร็วขึ้นกว่าประมาณการเดิม คือจากปลายปี 2567 เป็นปลายปี 2566
ส่วนปัจจัยภายนอกที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาด ได้แก่ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ประจำเดือนกรกฎาคม ที่8.5% ปรับตัวลดลงจาก 9.1% ในเดือนมิถุนายน ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และมองว่าการเร่งเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่ 75 bps จะเป็นการเพิ่มอย่างรุนแรงครั้งสุดท้ายและจะลดระดับการเพิ่มขึ้นในการประชุมครั้งต่อ ๆ ไป อย่างไรก็ตาม จากงานสัมมนาประจำปีที่ Jackson Hole กรรมการ FED ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงอยู่ในระดับที่เหมาะสมที่ 2% FED ยังคงเน้นย้ำความสำคัญของการรักษาเสถียรภาพราคามากกว่าผลต่อเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดเริ่มกลับมามีความกังวลว่า FED อาจจะใช้นโยบายการเงินเข้มงวดนานกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนปัจจัยภายนอกที่สร้างความผันผวนต่อการฟื้นตัวในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้แก่ ความขัดแย้งบริเวณช่องแคบไต้หวัน หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ของสหรัฐฯ ได้เดินทางเยือนไต้หวันโดยไม่สนใจคำเตือนของทางการจีนที่เรียกร้องให้สหรัฐฯยึดมั่นในหลักการจีนเดียว โดยทางการจีนได้ตอบโต้การเยือนไต้หวันในครั้งนี้ด้วยการซ้อมรบด้วยกระสุนจริงรอบเกาะไต้หวัน ทำให้ตลาดกังวลว่าจะไปซ้ำเติมภาวะติดขัดของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเสี่ยงดังกล่าวก็ได้คลี่คลายลงและเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นที่เข้ามารบกวนในช่วงเดือนที่ผ่านมา
สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือกลุ่มพลังงาน +5.3% กลุ่มการแพทย์ +5.1% และกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ +4.4% โดยมีกลุ่มที่ปรับตัวลง ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -1.8% กลุ่มการเงิน -1.1% และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง -1.0% โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิถึง 5.7 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศขายสุทธิ 3.4 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.3 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศขายสุทธิ 1.9 หมื่นล้านบาท