ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความคืบหน้าของแผนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษซึ่งรัฐบาลประกาศจะชี้แจงรายละเอียดของแผน หลังจากศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรีไม่สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรปเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปได้ ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ทางด้านตลาดเงินตลาดทุนของสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดี ทรัมป์ เริ่มพูดถึงรายละเอียดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น เช่น อาจจะมีการผ่อนคลายกฎสำหรับผู้ผลิตรถยนต์และสิทธิพิเศษทางภาษี ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในสัปดาห์นี้แย่กว่าที่คาด เช่น GDP ไตรมาสที่ 4 ขยายตัวที่ 1.9% ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 2.2%, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกมากกว่าค่าเฉลี่ย และยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. 59 ลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังต่อมาตรการของรัฐบาลที่จะเอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน และรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ของบริษัทใหญ่หลายแห่งออกมาดี ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลจึงปรับตัวขึ้น และส่งผลกระทบต่อตลาดเงินของประเทศอื่นให้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันด้วย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ 0.02-0.12% โดยเฉพาะในรุ่นอายุ 5 ปีขึ้นไป ในสัปดาห์นี้มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลตลาดแรกในรุ่นอายุประมาณ 20 ปี ซึ่งถูกรับประมาณ 31 พันล้านบาทจากจำนวนเสนอขาย 35 พันล้านบาท และอัตราผลตอบแทนปรับตัวขึ้นจากวันก่อนหน้าประมาณ 0.10% สำหรับตลาดรองตลอดทั้งสัปดาห์นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวประมาณ 25 ล้านบาทและ 5.5 พันล้านบาทตามลำดับ