ในเดือนกรกฎาคม SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2561 หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงมากในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่มีอัตราการเติบโตดีกว่าที่คาด แม้ว่าสหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน $34,000 ล้าน และจีนมีการตอบโต้ในระดับเดียวกัน ซึ่งทำให้สหรัฐฯ ประกาศจะเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเป็น $200,000 ล้านก็ตาม
โดยภาพรวม ดัชนีตลาดในเดือนกรกฎาคมมีการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งเดือน อันเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นในตลาด Emerging Market (รวมถึงไทยด้วย) ลดลงเมื่อเทียบกับการขายออกมามากในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการประกาศผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาด แม้ว่าจะเริ่มได้รับผลกระทบจากการลดค่าธรรมเนียมธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม โดยผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตถึง 17% YoY และทำให้ผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกกลับมาเติบโต 8% YoY เมื่อประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่มีการเติบโต 4.8% จึงมีการคาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของบริษัทจดทะเบียน น่าจะมีโอกาสเติบโตได้ถึง 15-20% YoY ในขณะที่การที่สหรัฐฯ ผ่อนปรนท่าทีการเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์และชิ้นส่วนจาก EU โดยทาง EU ยินยอมจะเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองและก๊าซธรรมชาติเหลว ทำให้ Sentiment ตลาดโดยรวมดีขึ้น และทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง
ในช่วงเดือนกรกฎาคม ตลาดหุ้นแทบจะไม่ได้รับผลกระทบทางลบจากปัจจัยภายนอกประเทศเลย ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง เนื่องจากสหรัฐฯ มีท่าทีผ่อนปรนลงเกี่ยวกับการ Sanction อิหร่าน และสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มการผลิตน้ำมันต่อเนื่อง การเริ่มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จากการที่สหรัฐฯเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจำนวน $34,000 ล้าน ในอัตรา 25% ในสินค้าประเภทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องบิน และหุ่นยนต์ และกำลังพิจารณาจะเก็บภาษีเพิ่มอีกมูลค่า $16,000 ล้าน ในขณะที่จีนก็มีการตอบโต้ในระดับเดียวกัน โดยเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯจำนวน $34,000 ล้าน ในอัตรา 25% ในสินค้าประเภทสินค้าเกษตรและยานยนต์ และกำลังพิจารณาจะเก็บภาษีเพิ่มอีกมูลค่า $16,000 ล้านเช่นกัน ซึ่งทำให้สหรัฐฯประกาศจะเพิ่มการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก $200,000 ล้าน ในอัตรา 10% และการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯปรับตัวลงแรง เนื่องจากผลประกอบการที่น่าผิดหวัง
สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 SET Index สามารถกลับมายืนเหนือระดับ 1,700 จุดได้อีกครั้ง โดยปิดที่ 1,701.79 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.6% จากเดือนก่อนหน้า โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +13.1% กลุ่มปิโตรเคมี +9.8% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ +9.4% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับขึ้นน้อยที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ +3.5% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +4.2% และกลุ่มโรงแรม +4.5% ในเดือนกรกฎาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 10,622 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 34,095 ล้านบาท
บลจ. ทาลิสคาดว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นยังมีโอกาสจะเกิดความผันผวนสูง โดยเฉพาะภายหลังจากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 แล้ว และเข้าใกล้ช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อาจจะออกมากประกาศนโยบายชาตินิยมเพิ่มเติมเพื่อสร้างคะแนนเสียงให้มากขึ้น ประกอบกับการที่ SET Index ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 120 จุดในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ทำให้อาจจะมีแรงขายทำกำไรเพิ่มมากขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว บลจ.ทาลิสยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นว่ายังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเติบโตได้ดี และเริ่มมีการกระจายไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภาคการบริโภค การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แม้ว่าการกระจายรายได้สู่ผู้มีรายได้น้อยยังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม รวมไปถึงโครงการ EEC ของรัฐบาลที่เริ่มเดินหน้าชัดเจนขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ ในขณะที่การประกาศช่วงเวลาการเลือกตั้งที่ชัดเจน ก็จะช่วยให้ Sentiment การลงทุนในตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยง ยังคงมีประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้ารอบแรกของสหรัฐฯและจีน การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ปัญหาผลประกอบการของกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯและของไทย