ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา SET Index ได้ปรับตัวลง -1.64% จากสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งมีหลายปัจจัยกดดันตลาดด้วยกัน ทั้งปัจจัยภายนอก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และปัจจัยภายใน ได้แก่ การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ออกมาต่ำกว่าคาดมาก
SET Index แกว่งตัวอยู่บริเวณระดับ 1,650-1,670 จุดในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 โดยกำไรรวมของบริษัททั้งหมดอยู่ที่ 2.57 แสนล้านบาท (+21% YoY และ +2% QoQ) โดยกลุ่มธุรกิจที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก ได้แก่ กลุ่มบันเทิง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ ส่วนกลุ่มที่มีการเติบโตต่ำหรือหดตัวแรง ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ กลุ่มพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกัน 9 เดือน คิดเป็น 73% ของประมาณการกำไรสุทธิของปี 2018 ทั้งปี ซึ่งยังอยู่ในกรอบที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้ตลาดหุ้นตอบสนองไม่มากนักกับผลประกอบการในไตรมาสนี้
ต่อมา วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 มีการประกาศตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3 อยู่ที่ขยายตัว 3.3% YoY ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.2% และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เติบโต 4.6% YoY นับเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากภาคการส่งออกของสินค้าไทย ที่ได้รับผลกระทบบางส่วนจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และการชะลอตัวลงของภาคการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีจำนวนลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนยังเติบโตได้ดีจากยอดขายรถยนต์ และการลงทุนโดยรวมยังขยายตัว ซึ่งจากตัวเลขภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคม พบว่าการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงหดตัว
ในด้านต่างประเทศ สหรัฐฯ มีการจัดการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคเดโมแครตชนะและครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลีกันยังคงเสียงข้างมากในวุฒิสภา ทำให้แนวโน้มต่อจากนี้ไป การผ่านกฎหมายหรือนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้ส่งผล Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นในเอเชียเล็กน้อย นอกจากนี้ ตลาดยังคงรอผลการเจรจาของสหรัฐฯ และจีนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จะพบกันในการประชุม G20 ในต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ หากพบว่าสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มเจรจากันได้และมีการผ่อนปรนการเก็บภาษี ข่าวนี้จะส่งบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
อีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดคือ ราคาน้ำมันดิบ ที่ยังอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากเดือนตุลาคม โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงจากระดับกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือนมาสู่ระดับ 59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปลายเดือน ด้วยความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบส่วนเกิน จากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสหรัฐฯ มีการผ่อนปรนการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยยังคงให้ 8 ประเทศสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านได้ นอกจากนี้ กำลังการผลิตของ OPEC ก็มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีเช่นกัน จากการเพิ่มการผลิตของซาอุดิอาระเบียและลิเบีย ราคาน้ำมันดิบจึงปรับตัวลงมาก กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทั้งนี้ ต้องติดตามความคืบหน้าในการหารือเรื่องการลดกำลังการผลิตในการประชุม OPEC ในเดือนธันวาคมนี้
สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 SET Index ได้ปิดที่ 1,641.80 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,669.09 จุด หรือประมาณ -1.6% จากสิ้นเดือนตุลาคม โดยราคาหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการแพทย์ +2.42% กลุ่มขนส่ง +0.4% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ +0.0% ในขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลงแรงที่สุด ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ -7.4% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร -5.1% และ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -5.0% ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยสุทธิ 13,993 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศได้ทำการซื้อสุทธิ 14,677 ล้านบาท
บลจ. ทาลิสยังคงมุมมองแนวโน้มระยะกลางของตลาดหุ้นไทยว่ามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบกว้างที่ 1,600-1,900 จุด โดยตลาดเริ่มซึมซับปัจจัยลบจากต่างประเทศไปมากแล้ว เช่น ข่าวสงครามการค้าและการลดลงของราคาน้ำมันดิบ เป็นต้น ในระยะต่อไป ปัจจัยภายในประเทศน่าจะเริ่มส่งผลต่อตลาดมากขึ้น ทั้งเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังเติบโตได้ดี ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 และแนวโน้มการเติบโตของ GDP ปีหน้า และเรื่องความคืบหน้าของการเลือกตั้ง ที่น่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในเดือนธันวาคม และหากการเลือกตั้งยังเป็นไปตามกำหนดการเดิม คือ 24 กุมภาพันธ์ 2562 น่าจะส่งผลบวกในแง่จิตวิทยาต่อตลาด และทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง