ภาวะตลาดหุ้นไทย – ธันวาคม 2561

ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -4.7% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยได้รับแรงกดดันหลักจากปัจจัยลบจากต่างประเทศ ได้แก่ พัฒนาการด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ราคาน้ำมันดิบตกต่ำ และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ส่วนปัจจัยภายในที่กดดันตลาดคือ การขึ้นดอกเบี้ยของกนง.

SET Index ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนไปทดสอบแนวต้านที่ 1,680 จุด จากข่าวการเจรจาการค้าสหรัฐฯ และจีน ที่ประกาศสงบศึกการค้า 90 วันนับจากต้นเดือนธันวาคม 2561 ส่งผลให้เส้นตายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มีนาคม 2562 และในช่วงตลอดเดือนธันวาคม ก็มีพัฒนาการเชิงบวก โดยเฉพาะจากทางฝั่งจีน ที่มีการส่งสัญญาณลดภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ และจะมีการนำเข้าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากสหรัฐอีกครั้ง

หลังจากสัปดาห์แรกของเดือน SET Index ปรับตัวลงตลอดจนถึงสิ้นเดือน พร้อมกับการพักฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยข่าวร้ายที่ถาโถมมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจับกุม CFO ของ Huawei ที่สร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้น เนื่องจากเกรงว่าจะบานปลายไปกระทบการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านการเมืองในสหรัฐฯ ว่าจะเกิด Government Shutdown หลังจากสภาฯไม่อนุมัติร่างงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกตามความต้องการของประธานาธิบดี Trump และในฝั่งยุโรปเอง ก็มีความเสี่ยงจากการเลื่อนการพิจารณาร่าง Brexit ของรัฐสภาอังกฤษ

นอกจากนี้ ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดือนธันวาคม มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตามคาด มาอยู่ที่ 2.5% แต่โทนการประชุมมีแนวโน้มที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยลง จากเดิม 3 ครั้งในปี 2019 เหลือเพียง 2 ครั้ง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนในฝั่งของไทย กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปีสู่ระดับ 1.75% พร้อมกับปรับลดการคาดการณ์ GDP ปี 2018 ลงเหลือ 4.2% และปี 2019 ลงเหลือ 4% จากการชะลอตัวของภาคการส่งออก แต่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังแข็งแกร่ง รวมทั้งการบริโภคยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมันนั้น ยังคงไม่ฟื้นตัวจากเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กอปรกับปัญหาด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ แซงหน้ารัสเซียกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยิ่งไปกว่านั้น หลัง PTTEP ชนะการประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณตามตลาดคาด แต่ราคาที่เสนอต่ำกว่าคาดมาก ทำให้ตลาดเชื่อว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะลดลง ทำให้ราคาหุ้นลดลงแรงและกดดัน SET Index มาอยู่ระดับต่ำกว่า 1,600 จุด และเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550 – 1,600 จนสิ้นปี

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนธันวาคม 2561 SET Index ได้ปิดที่ 1,563.88 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,641.08 จุด หรือประมาณ -4.7% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +1.1% กลุ่มพาณิชย์ -1.8% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -2.4% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -12.5% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -9.3% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -7.6% ในเดือนธันวาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 293 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 5,671 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนในปี 2018 ที่ผ่านมา แม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะยังเติบโตได้ดี โดยคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับปี 2017 ซึ่งน่าจะผลักดันให้ SET Index มีการปรับตัวขึ้นในทางเดียวกันกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากต่างประเทศกลับเข้ามามีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เช่น ประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ภาวะหนี้ของประเทศในกลุ่มอียู เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่อ่อนค่าลง และการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนมากตามปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะราคาหุ้นในกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก ที่หลาย ๆ บริษัทปรับลดลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน

สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET Index ในปี 2019 นั้น ปัจจัยหลักภายในประเทศที่ต้องติดตามคือผลการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นปี ซึ่งในสถานการณ์ปรกติ ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้ง หรือที่เรียกกันว่า “Election Rally” แต่ในรอบนี้ นักลงทุนไทยและต่างชาติจะเฝ้ารอผลการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาถึงความมีสเถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และความต่อเนื่องของนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศหลักที่ต้องติดตามคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และการนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการบริหารสภาพคล่องของ FED ซึ่งหากปัจจัยต่าง ๆ มีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ก็เชื่อว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง หลังจากการขายและถือเงินสดมากขึ้นในปี 2018 ทั้งนี้ บลจ.ทาลิสคาดว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบค่าพีอีประมาณ 13.5 – 16 เท่า หรือคิดเป็นดัชนีอยู่ในช่วง 1,550 – 1,840 จุด ซึ่ง ณ ระดับดัชนีที่ต่ำกว่า 1,600 จุด คิดเป็นค่าพีอีตลาดเพียง 13.9 เท่า จึงเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนในหุ้นสำหรับการลงทุนในระยะยาว