ภาวะตลาดหุ้นไทย – ตุลาคม 2564

SET Index ปรับตัวขึ้น +1.1% สู่ระดับ 1,623.43 จุด จากการคลายความกังวลเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่ต้องกักตัว ในวันที่ 1 พฤศจิกายน แต่ตลาดยังมีแรงกดดันจากประเด็น QE Tapering อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่ส่งผลต่อตลาด คือ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้เป็นการชั่วคราว และประธานาธิบดี Joe Biden ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายทันก่อนกำหนดในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐอเมริกาสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ถือเป็นจิตวิทยาทางบวกต่อการลงทุน แต่ประเด็นหลักที่ตลาดให้ความสนใจอีกประเด็น คือ QE Tapering โดยประธาน FED ส่งสัญญาณว่า FED จะปรับลดการซื้อสินทรัพย์ในเดือนหน้า แต่ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากการจ้างงานยังคงต่ำกว่าช่วงก่อน Covid-19 อยู่ประมาณ 5 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงนั้น การประเมินจะสิ้นสุดในปีหน้า การทำ QE Tapering ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ส่งผลให้ Fund Flows ในภูมิภาคเอเชียค่อนข้างผันผวน โดยในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในตลาดเอเชีย -3.89 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเกิดแรงเทขายอย่างหนักในภูมิภาคเอเชียเหนือ ในประเทศไต้หวัน และประเทศเกาหลีใต้ ในทางกลับกัน นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิในประเทศกลุ่ม TIPs ทุกประเทศ โดยมีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียมากที่สุด ตามด้วยตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยภายในประเทศได้รับแรงกระตุ้นจากการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีขึ้น และตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดระดับลง ทำให้มีการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคมมีการปรับเวลาเคอร์ฟิวลงเป็น 5 ทุ่มถึงตี 3 เริ่ม 16 ตุลาคมที่ผ่านมา สามารถจัดงานแสดงสินค้า-ศูนย์ประชุม-จัดนิทรรศการได้ ให้สนามกีฬาทุกประเภท-สวนสาธารณะเปิดได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นบวกจากยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่มีผลการทดลองว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา Covid-19 โดยกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าจะสามารถนำเข้ายาโมลนูพิราเวียร์ได้ภายในเดือนธันวาคม 2564 – มกราคม 2565 เป็นการเพิ่มความคาดหวังเชิงบวกที่จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยเป็นการรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแบบไม่ต้องกักตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 45 ประเทศ + 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัด 2) ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศนอกเหนือจากข้อ 1 จะต้องเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง 17 จังหวัด (พื้นที่สีฟ้า) และอยู่ 7 วัน เมื่อครบแล้ว จึงจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้ 3) กรณีไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ข้อ ต้องกักตัว 7-10 วัน นอกจากนี้ มาตรการเคอร์ฟิวจะถูกยกเลิกในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทำให้ส่งผลในเชิงบวกต่อกลุ่ม Re-Opening อย่างต่อเนื่อง และทำให้กลุ่มอิงการท่องเที่ยวฟื้นตัว

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนตุลาคม 2564 SET Index ปิดที่ 1,623.43 จุดปรับตัวขึ้น 17.75 จุดหรือ +1.1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่ราว 50 จุดเท่านั้น เนื่องจากการปรับตัวขึ้นกระจุกตัวในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น กลุ่มพลังงานที่ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นแรง และกลุ่มธนาคารที่รายงานงบไตรมาส 3 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองได้ปรับเพิ่มขึ้นก่อนหน้าในระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ ยังคงรอปัจจัยสนับสนุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อผลประกอบการไตรมาส 3 ของภาค Real Sector ที่มีแนวโน้มออกมาไม่ดีนัก จากผลกระทบจากการ Lockdown ในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยกดดันให้เกิดแรงขายทำกำไรหุ้นไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 6.1% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 4.2% และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 3.9% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -6.7% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -3.5% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -1.6% ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 5,855 ล้านบาท และ 15,886 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายหุ้นไทยสุทธิ 18,063 ล้านบาทและ 3,678 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 18,582 ล้านบาท และ 101,242 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 59,005 ล้านบาทและ 60,819 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิติดต่อเป็นเดือนที่ 3 โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน อสังหาฯ และขนส่ง แต่ลดการถือครองในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ICT และปิโตรเคมี ขณะที่ Performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในทุกช่วงทั้ง 1, 3, 6 และ 12 เดือนหลังสุด ทางด้าน Consensus ปรับประมาณการกำไรฯ ปี 64 ของ SET ขึ้น 2.12% เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย และไต้หวัน ที่ปรับประมาณการกำไรฯ ปีนี้ขึ้น 1.5% และ 1.2% ตรงข้ามกับฟิลิปปินส์ และจีน ที่ปรับประมาณฯ ปีนี้ลง 3.9% และ 0.7% ตามลำดับ