ในเดือนเมษายน 2565 SET Index ปรับตัวลดลง 1.64% สู่ระดับ 1,667.44 จุด จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครน-รัสเซียที่ยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงมาก ทำให้ Fed มีแนวโน้มที่จะเร่งใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น และการระบาดของ Covid-19 ในจีน ที่ทำให้จีนต้อง Lockdown เมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม การประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2565 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ดีกว่าคาด และการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น ช่วยทำให้ SET Index ลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ
ปัจจัยภายนอกประเทศที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index ในช่วงเดือนเมษายน 2565 ยังคงเป็นความเสี่ยงจากสงครามยูเครน-รัสเซียยังไม่มีแนวโน้มที่จะเจรจากันได้ และทางกลุ่มประเทศตะวันตกพยายามจะเพิ่มความกดดันด้วยการออกมาตรการ Sanction มากขึ้น ในขณะที่รัสเซียก็พยายามกดดันด้วยการจำกัดการส่งออกกาซธรรมชาติให้แก่กลุ่มประเทศยุโรปที่ไม่ยอมรับการซื้อกาซด้วยเงินรูเบิล ทำให้ราคาพลังงานยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในระดับที่สูงมาก ทำให้หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกต้องพิจารณานโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ Fed มีแนวโน้มจะเร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่กับการดึงสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน โดยมีการคาดการณ์ว่า Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพฤษภาคม และอาจจะขึ้นอีกครั้งละ 0.50% ต่อเนื่องอีก 2-3 ครั้งด้วย ทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้นอย่างมาก และมีความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ในอนาคต ในขณะที่การระบาดของ Covid-19 ในจีนมีการขยายวงมากขึ้นจากเซี่ยงไฮ้ไปยังปักกิ่ง ซึ่งทำให้มีความกังวลว่าจีนจะขยายมาตรการ Lockdown จากเซียงไฮ้ไปยังปักกิ่งด้วย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลงในเดือนเมษายน โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกภายในประเทศของไทยก็ยังช่วยประคองให้ SET Index ปรับตัวลดลงน้อยกว่าประเทศอื่นๆ จากการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2565 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และการที่การระบาดของ Covid-19 ในประเทศมีแนวโน้มลดลง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านเทศกาลสงกรานต์ที่คาดว่าการระบาดจะเร่งตัวขึ้นมาก ทำให้รัฐบาลเริ่มประกาศผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประทศมากขึ้น ทั้งการยกเลิกการตรวจ RT-PCR มาเป็นการตรวจ ATK และการยกเลิก Test & Go ซึ่งทำให้มีความคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยวมากขึ้น แม้ว่าประเทศไทยก็เผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น จากราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ การที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นค่อนข้างรวดเร็ว ทำให้ยังมีเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สภาวะการลงทุนในเดือนเมษายนค่อนข้างซบเซา เนื่องจากมีเทศกาลหยุดยาวประจำปี นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและเงินเฟ้อ และความกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวลงของตลาดหุ้นในเดือนพฤษภาคม ที่ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น
สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนเมษายน 2565 SET Index ปิดที่ระดับ 1,667.44 จุด ลดลง 27.80 จุดหรือ -1.64% จากเดือนก่อนหน้า มูลค่าการซื้อขายต่อวันลดลงจาก 89,195 ล้านบาทในเดือนมีนาคม เหลือ 71,959 ล้านบาทในเดือนเมษายน โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ +11.1% กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต +4.7% และกลุ่มการแพทย์ +2.0% ในขณะที่หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ -9.5% กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -6.3% และกลุ่มบันเทิงและสันทนาการ -2.9%
ในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 10,869 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,350 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันภายในประเทศขายสุทธิ 13,152 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 3,634 ล้านบาท