SET Index ในเดือนกันยายน 2566 ปิดที่ระดับ 1,471.43 จุด ลดลง 6.04% จากเดือนก่อนหน้า จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ผลกระทบนโยบายภาครัฐ และ Bond Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกันยายน อยู่ที่ 47,907 ล้านบาท (-15.73% MoM)
ตลาดกังวลนโยบายเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบต่อบางอุตสาหกรรม เช่น นโยบายลดค่าไฟฟ้า การตรึงราคาขายปลีกน้ำมัน และราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มอุปทานตึงตัวจากการลดกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วันของซาอุฯ โดยในช่วงต้นเดือน กกพ. มีมติปรับลดค่าไฟ Ft งวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 จากมติเดิม 4.45 บาท/kWh เหลือ 4.10 บาท/kWh เป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นโรงไฟฟ้า ต่อมารัฐบาลได้ประกาศลดค่าไฟ Ft ลงอีกจาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงขายต่อเนื่อง ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 20% ของมูลค่าตลาดรวมของ SET Index จึงมีอิทธิพลต่อการปรับลดลงของภาพรวมตลาดหุ้นไทย อีกทั้งผลกระทบจากการดำเนินการนโยบาย Digital Wallet ในเรื่องการจัดหาเงินทุน ที่ยังไม่มีความชัดเจนจะมาจากทางใด ประกอบกับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับการปรับลด Credit Rating ของไทย หลังจากสถาบัน Moody’s ออกมาเตือน เป็นปัจจัยที่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา
ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และไทย 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี และ 11 เดือน ตามลำดับ ในขณะที่ผลตอบแทน (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.6% และ 3.23% ตามลำดับ ทั้งนี้ กนง. ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.50% ในการประชุมครั้งล่าสุดช่วงปลายเดือนกันยายน ส่งผลให้ความน่าสนใจตลาดหุ้นโดยรวมลดลงโดย Forward Earning Yield Gap ของ SET ปรับตัวลดลงเหลือ 2.92% ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระดับสูงจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยและโลกในช่วงนี้
สำหรับปัจจัยสนับสนุน คือ นโยบายฟรีวีซ่าจีน-คาซัคสถาน มีผลตั้งแต่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยททท. คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2566 ได้ 4-4.4 ล้านคน เป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวในระยะกลาง
ในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 8 ที่ 2.20 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.54 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต +5.0% ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -21.4% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -13.9% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -12.1% ให้ผลตอบติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเราคาดว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า ที่จะช่วยลดความยุ่งยากให้แก่นักท่องเที่ยวจีน จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ หากมาตรการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาทมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนันสนุนสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้