ภาวะตลาดหุ้นไทย – ตุลาคม 2566

SET Index ในเดือนตุลาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,381.83 จุด ลดลง 6.09% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยกดดันมาจากผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นและดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น กดดันบรรยากาศการลงทุน ผนวกกับแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น หลังจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเข้าสู่ภาวะสงคราม ส่วนด้านปัจจัยภายในประเทศนั้นก็อยู่ในภาวะซบเซา โดยทิศทางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวดูอ่อนแอกว่าที่คาด จากเหตุกราดยิงที่ห้างฯสยามพารากอนกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และความไม่ชัดเจนของแนวทางมาตรการดิจิตอลวอลเล็ต มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 45,582 ล้านบาท (-4.84% MoM)

ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยกดดันเพิ่มมากขึ้น และยังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนมาหักล้าง เป็นเหตุให้หุ้นหลายตัวปรับตัวลง ซึ่งนักลงทุนยังคงกังวลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นกับผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลที่แคบลง โดยเฉพาะเมื่อนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายเงินเฟ้อระยาวที่ 2% ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง บริษัทต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและยาวนานขึ้นไปอีก ส่งผลต่อภาวะการลงทุน การจ้างงาน กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งทำให้ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะได้รับผลกระทบหากสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลยืดเยื้อ นอกจากนี้ บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังเหตุการณ์ที่ห้างฯสยามพารากอนกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การฉีดยากระตุ้นเศรษฐกิจของไทยผ่านมาตรการดิจิตอลวอลเล็ตของรัฐบาลที่อาจจะเห็นผลดีในระยะสั้น แต่อาจจะทำให้มีผลข้างเคียงในระยะยาว ทำให้นโยบายการคลังของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ยังต้องจับตามอง โดยมีข่าวลบทยอยออกมาทั้งเดือน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาตัดคนรวยหรือผู้มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อลดงบประมาณของโครงการ และเลื่อนกำหนดเวลาออกมาตรการเป็นช่วงเมษายน-พฤษภาคม ปี 2567 จากเดิมช่วงเดือนมกราคม รวมถึงความเสี่ยงที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 3/2566 จะออกมาต่ำกว่าที่คาด

ในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 9 ที่ 1.57 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 2.20 หมื่นล้านบาท โดยไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -11.7% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -11.3% และกลุ่มยานยนต์ -11.1% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลงในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2566 ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม