SET Index ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ปิดที่ระดับ 1,380.18 จุด ลดลง 0.12% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯที่คาดว่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เม็ดเงินใหม่จากกองทุน TESG และมาตรการ E-Refund ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศทั้งเรื่อง Short Sell จำนวนนักท่องเที่ยวที่อาจจะฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ จากการยกเลิกเที่ยวบินเข้าไทย ความเสี่ยงภาครัฐเข้าแทรกแซงค่าไฟ และตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของปี 2566 และ 2567 ที่ลดลง โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,375 -1,430 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 44,524 ล้านบาท (-2.32% MoM)
ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงต้นเดือน หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน โดย นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจยุตินโยบายการเงินที่เข้มงวดนี้หลังจากที่คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยเริ่มแกว่งตัวออกข้าง โดยมีปัจจัยกดดันจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 3 ที่ออกมาผสมผสานกัน นำโดยกลุ่มค้าปลีกที่ปรับลงแรงหลังผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยหลังจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ร่วมแถลงถึงสภาวะการลงทุนหลังดัชนี SET Index ปรับตัวลงหลุด 1,400 จุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลทุน โดยทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. ได้ให้ข้อมูลว่าการทำ Short Sell ยังอยู่ในระดับปกติ จึงไม่ได้เป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวลงแรง
ในช่วงครึ่งเดือนหลัง ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการฟื้นตัวได้เล็กน้อยในช่วงต้น หลังกระทรวงการคลังหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนใหม่ TESG ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาด โดยลักษณะจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้น ESG หรือหุ้นยั่งยืน คือคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเป็นหลัก สภาวะตลาดยังปรับตัวลงต่อหลังเงื่อนไขวงเงินลงทุนไม่เกิน 100,000 บาท/ราย น้อยกว่าที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 200,000-300,000 บาท/ราย และต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 ปี อีกทั้งยังโดนกดดันจากแรงเทขายของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT ที่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากสายการบินจีนยกเลิกเที่ยวบินเข้าประเทศไทย อีกทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงหลังภาครัฐอาจเข้าแทรกแซงค่าไฟฟ้า อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 และ 2567 กดดันบรรยากาศการลงทุน
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 10 ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.57 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 8.4% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 6.4% และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 5.0% ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -9.6% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -7.1% และกลุ่มการแพทย์ -4.9% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลงในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2566 ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม