ภาวะตลาดหุ้นไทย – มกราคม 2567

SET Index ในเดือนมกราคม 2567 ปิดที่ระดับ 1,364.52 จุด ลดลง 3.63% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยกดดันจากความคาดหวังที่เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลดลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ แข็งค่าขึ้น ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศจากตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 จากประมาณการของกระทรวงการคลังที่มีแนวโน้มจะออกมาต่ำกว่าเป้าเดิม โดยมองว่า GDP ประเทศไทยปี 2566 จะเติบโต 1.8% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.7% อีกทั้งมาตรการดิจิตัลวอลเล็ตอาจล่าช้าออกไปจากกำหนดการเดิม ทำให้มีกระแสกดดันให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้คาดว่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในเดือนมกราคม โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,352 -1,438 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมกราคม อยู่ที่ 45,289 ล้านบาท (+18.88% MoM)

January Effect สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน โดยตลอดทั้งเดือนมีการปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้แรงกดดันจากความกังวลดอกเบี้ยไทยเริ่มมี Downside ในการปรับลง และการทยอยปรับลด Target Price ลงจากโบรกเกอร์ต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบจากกระแสความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่กลับเข้ามาในตลาด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังมีการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีกระแสเงินไหลออก สะท้อนถึงปัจจัยกดดันเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทย อาทิเช่น ตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯ ที่อาจจะออกมาน่าผิดหวัง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่อแววล่าช้า รวมถึงขนาดของวงเงินที่ใช้มีความเสี่ยงที่จะปรับลดลง ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมีน้อยลง หลังรัฐบาลและ ธปท. มีมุมมองที่ต่างกันต่อเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลแสดงความกังวลต่อเงินฝืดรวมทั้งระดับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป แต่ฝั่ง ธปท. แถลงว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่เกิดเงินฝืด และดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะเป็นแรงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น หลังมาตรการฟรีวีซ่าถาวร ไทย-จีน ที่จะเริ่ม 1 มีนาคม 2567 และทางการจีนได้ประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ รวมทั้งการปรับลดสัดส่วนเงินสำรองภาคธนาคาร (Reserve Requirement Ratio) ลง คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นที่เชื่อมโยง สามารถฟื้นตัวในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 12 ที่ 30,874 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 204 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจการเกษตร 5.7% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2.4% และกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 2.0% ในขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (-11.3%) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (-10.1%) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (-8.1%) ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต้นของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เรายังคงติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 4/2566 ที่อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลง ส่งผลให้ EPS Growth 2567 ของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยลง รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะไม่ได้ทยอยปรับลดลงเร็วตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาด ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม