ภาวะตลาดหุ้นไทย – มีนาคม 2567

SET Index ในเดือนมีนาคม 2567 ปิดที่ระดับ 1,377.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.53% จากเดือนก่อนหน้า ในช่วงต้นเดือนดัชนีมีการปรับตัวลง โดยได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ของปีที่บริเวณ 1,350 จุด ก่อนจะฟื้นตัวตามภูมิภาค หลังทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น ภาพรวมตลาดทั้งเดือนยังแกว่งตัวในลักษณะ Sideway โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 1,350-1,396 หรือ 46 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมีนาคม อยู่ที่ 41,142 ล้านบาท (-8.41% MoM)

ตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม มีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางในหลายประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น โดยตลาดได้ตอบสนองเชิงบวก หลังการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ให้แนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้งในปี 2567 และ 3 ครั้งในปีหน้า โดยธนาคารกลางยุโรปและและธนาคารอังกฤษต่างมีการส่งสัญญานที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยลงแล้ว ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังดี ทำให้หลังเฟดระบุถึงแนวโน้มดอกเบี้ยไม่ได้กระทบสกุลเงินดอลล่าร์ฯ อ่อนค่าลง ด้านปัจจัยบวกภายในประเทศเริ่มเห็นทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีนาคม โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากที่ประชุมวุฒิสภา มีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ในวาระที่ 3 แล้ว และจะจัดส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน ที่ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้ ด้านการผลักดันมาตรการต่าง ๆ กระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล อาทิ รัฐบาลส่งสัญญาณให้เร่งสรุปผลการศึกษา Entertainment Complex ในประเทศไทย การออกมาตรการ Digital wallet ที่คาดจะเริ่มได้ใช้ภายในไตรมาส 4 นี้ อีกทั้งคณะกรรมการค่าจ้างขั้นต่ำ มีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งที่ 2 ของปีงบประมาณ 2567 สำหรับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็น 400 บาทต่อวัน นำร่อง 10 จังหวัดท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภค โดยให้เฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก และให้ปรับแบบเจาะจงพื้นที่ โดยเผยว่ากลุ่มธุรกิจส่งออก โลจิสติกส์เป็นรายต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนถูกหักล้างบางส่วน จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์ฯ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ ซึ่งไปหักล้างผลกระทบจากการที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า กระแสข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ กนง. อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าเดิม เช่น ในการประชุมวันที่ 10 เม.ย. ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง น่าจะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยก่อนฝั่งสหรัฐฯ นานพอสมควร กดดันทำให้ดัชนี SET ปรับตัวอยู่ในกรอบแคบ ๆ

นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิที่ 4.13 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิ 2.86 พันล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกระแส Fund Flow เดือนนี้ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกราว 1.6 พันล้านเหรียญ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 4.6% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 3.9% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ 3.6% ในขณะที่กลุ่มยานยนต์ -4.8% กลุ่มพาณิชย์ -3.1% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -2.8% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต่อไปของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯและไทย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อย่างมั่นคง