ภาวะตลาดหุ้นไทย (7-11 พฤศจิกายน 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน SET Index ผันผวนในกรอบ 1,486- 1,522 จุด โดยในช่วงต้นสัปดาห์ SET Index สามารถกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดได้อีกครั้ง เมื่อปรากฏข่าวว่า FBI ได้หยุดการพิจารณาในประเด็นการใช้ E-mail ส่วนตัวของนางฮิลลารี่ คลินตัน ทำให้มีการคาดการณ์ว่านางคลินตันจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนกลับมา และจะทำให้นางคลินตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ออกมา ปรากฏว่าเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ซึ่งผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ประกอบกับการที่พรรครีพับบลิกันได้รับชัยชนะครองเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ในช่วงแรกมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น จากการคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้ราบรื่นขึ้น เนื่องจากครองเสียงข้างมากทั้งในด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ได้เกิดแรงเทขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่านโยบายทางเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ที่จะเร่งการลงทุนภาครัฐ จะทำให้สหรัฐฯขาดดุลงบประมาณมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯจะแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่านายทรัมป์อาจจะออกมาตรการกีดกันทางการค้ามากขึ้นด้วย ทำให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 9,273 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีตามที่นักวิเคราะห์คาดก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบยังคงลงต่อเนื่อง โดยสิ้นสัปดาห์ปิดที่ $43.41 ต่อบาร์เรล จากการที่กลุ่ม OPEC มีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้มีความกังวลว่าการประชุมเพื่อควบคุมกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้จะล้มเหลว

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,494.53 จุด ปรับเพิ่มจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.59%

ในส่วนของมุมมองระยะสั้น ตลาดยังคงมีความผันผวน เนื่องจากยังมีแนวโน้มที่ Flow ต่างชาติยังคงไหลออกจากไทยและภูมิภาคอีกระยะหนึ่ง ตลาดยังคงให้ความสนใจเกี่ยวกับนโยบายของนายทรัมป์ ช่วงก่อนรับตำแหน่งประธานาธิปดี ในวันที่ 20 มกราคม 2560 ที่ประกาศจะดำเนินนโยบายเร่งด่วนในช่วง 100 วันแรกหลังจากการเข้ารับตำแหน่ง

Thai-Market-7-11-Nov