ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย (7 – 11 พฤศจิกายน 2559 )

คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 ต่อปีในวันพุธที่ผ่านมา โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ก่อนหน้าแม้มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นแต่อาจกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายช้ากว่าคาดจากปัจจัยด้านอุปทาน สำหรับภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ทางด้านเหตุการณ์สำคัญคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. นับตั้งแต่ผลโพลที่มีคะแนนสูสีกันจนกระทั่งเมื่อผลการเลือกตั้งจริงออกมา ได้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งนำไปสู่ความผันผวนในสกุลเงินอื่น ราคาของสินทรัพย์เสี่ยงและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นอีกด้วย ภายหลังผลการเลือกตั้งออกมาพลิกความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 และพรรครีพับลิกันได้รับเสียงข้างมากในสภาครองเกรส ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกต่างกังวลกับนโยบายสุดโต่งของนายทรัมป์ แต่หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ตอบรับชัยชนะ ตลาดกลับคลายกังวลส่งผลให้มีแรงเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาบวกและพันธบัตรสหรัฐเผชิญแรงขายอย่างรุนแรง โดยล่าสุด US Treasury 10-Yr ขึ้นไปแตะระดับ 2.20% เมื่อสิ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากการเพิ่มการคาดการณ์ว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมและอาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในปีหน้า

เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อตลาดตราสารหนี้ไทย ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น โดยตลอดทั้งสัปดาห์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไปปรับตัวขึ้น 0.05-0.17% นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทั้งพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวประมาณ 22.07 พันล้านบาท และ 5.14 พันล้านบาท ตามลำดับ

fixed-incomme-market-7-11Nov