ภาวะตลาดหุ้นไทย (26-30 ธันวาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สุดท้ายของปี SET Index มีการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยสิ้นปี Set Index ปิดที่ 1,542 จุด จาก 1,512 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง Fund Flow ต่างชาติพลิกกลับมาเป็น Ney Buy ในช่วงปลายสัปดาห์ โดยต่างชาติซื้อสุทธิ 7.1 พันล้านบาท โดยปัยจัยหลักของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นยังคงมาจากเม็ดเงิน LTF/RMF และการทำ Window Dressing ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI สิ้นปีราคาน้ำมันสามารถยืนเหนือ $50 ต่อบาร์เรลได้ โดย ปิดที่ $53.72 ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้น 1.32% WoW

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,542.94 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.98%

ในภาพรวมของทั้งปี 2559 นั้น SET Index ปรับตัวขึ้นถึง 19.79% และเมื่อรวมผลตอบแทนจากเงินปันผล ผลตอบแทนทั้งหมดอยู่ที่ 23.90% ซึ่งทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในตลาดหุ้นเอเชีย โดยหุ้นกลุ่มหลักที่มีผลต่อดัชนี ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มพาณิชย์ โดยผลตอบแทนอยู่ที่ 17.71%, 38.45% และ 40.98% ตามลำดับ ในส่วนของหุ้นที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยปรับตัวลดลง -3.5% และ -7.93% ตามลำดับ โดยตลอดทั้งปี Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ และ Proprietary Trade เป็นผู้ซื้อสุทธิที่ 7.8 หมื่นล้านบาท และ 2.5 หมื่นล้าน ตามลำดับ ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ และรายย่อย ขายสุทธิ 8.6 พันล้านบาท และ 9.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้น 45.03% ในรอบปีที่ผ่านมา โดยปิดที่ $53.72 ต่อบาร์เรล

ในส่วนของมุมมองปี 2560 จากปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ในปี 2560 โดยรวมแล้วเป็นความเสี่ยงจากต่างประเทศ ในมุมมองระยะสั้นนั้น คงเป็นการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2560 จะเน้นนโยบาย American First ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะสั้น เนื่องจากการลดอัตราภาษี การเพิ่มการจ้างงาน และการทุ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น อันจะทำให้ค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้นได้ และอาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากไทยได้ ส่วนในส่วนของระยะกลาง – ยาวนั้น จากการที่คณะกรรมการ FOMC ส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ของสหรัฐฯ ประมาณ 3 ครั้งในปี 2560 เป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และจะสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งหากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการปรับส่วนใหญ่จะไปอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ก็จะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไม่มากนัก แต่หากปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก ในส่วนของฝั่งยุโรปนั้น จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส (เดือนเมษายน-พฤษภาคม) และในประเทศเยอรมัน (เดือนตุลาคม) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ฝ่ายขวาในยุโรป ที่ชูนโยบายแยกประเทศออกจากกลุ่มสหภาพยุโรปกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งหากพรรคการเมืองเหล่านี้ชนะการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมัน จะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของกลุ่มสหภาพยุโรปอย่างมาก ซึ่งผลกระทบจะมีมากกว่าเหตุการณ์ Brexit ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มจะชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและไปลงทุนในภูมิภาคอื่นแทน

Thai-market-26-30Dec-2016