ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤศจิกายน 2560

ในเดือนพฤศจิกายน SET Index มีการแกว่งตัวช่วงแคบระหว่าง 1,687-1,714 จุดตลอดทั้งเดือน เนื่องจากการขายทำกำไรหลังจาก SET Index ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ และนักลงทุนในประเทศมีการขายหุ้นบางส่วนเพื่อไปจองซื้อหุ้น IPO นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังมีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากเป็นช่วงใกล้ปิดบัญชีสิ้นปี อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับประมาณการตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการคาดหวังภาวะเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้นในปี 2561

การแกว่งตัวของ SET Index ระหว่าง 1,687-1,714 จุด สืบเนื่องมาจาก SET Index ที่มีการปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อ SET Index ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,720 จุด ก็มีแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างมาก ปัจจัยที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาด ได้แก่ การประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด คือทรงตัวจากไตรมาสที่ 3/2559 และลดลง 3% จากไตรมาสที่ 2/2560 อย่างไรก็ตาม การที่ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ต่ำกว่าคาดนี้ ประเด็นสำคัญมาจากการตั้ง Impartment แหล่ง Oil Sand ในแคนาดาของ PTTEP จำนวนกว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบให้กำไรสุทธิของ PTT ลดลงประมาณ 12,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งหากไม่นับรายการดังกล่าว ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 จะเติบโตขึ้น 17% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของไตรมาสที่ 3/2559 และเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของไตรมาสที่ 2/2560 และทำให้กำไรสุทธิช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 มีการเติบโต 10% เมื่อเทียบกับ 9 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ นักลงทุนในประเทศยังมีการขายหุ้นออกมาบางส่วนเพื่อรอการซื้อหุ้น IPO ของ GULF ที่คาดว่าเมื่อเข้าตลาดฯ จะมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 1 แสนล้านบาท (ประมาณ 0.6% ของตลาดฯ) ซึ่งถือว่าเป็นหุ้น IPO ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของตลาดหุ้นไทยในรอบหลายปี ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติได้มีการขายทำกำไรในตลาดหุ้นเอเชีย เพราะเป็นช่วงใกล้ปิดบัญชีสิ้นปีและเข้าสู่ช่วงการพักผ่อนในเทศกาลปีใหม่ รวมทั้งการย้ายเงินลงทุนบางส่วนกลับไปลงทุนในสหรัฐฯ เนื่องจากคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น เมื่อมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะสามารถประกาศใช้กฎหมายปฏิรูปภาษีได้ในไม่ช้า ทั้งนี้ กลุ่ม ICT มีการปรับตัวลงค่อนข้างมาก จากการที่ กสทช. ยังไม่อนุมัติให้ ทศท. ทำสัญญาการให้บริการข้ามโครงข่าย (Roaming) กับ DTAC บนคลื่นความถี่ 2300 MHz ในการให้บริการการสื่อสารไร้สายได้ ทำให้มีความกังวลว่าการประมูลคลื่นความถี่ 900 MHz และ 1800 MHz ในปี 2561 จะทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก DTAC จะต้องประมูลคลื่นความถี่ให้ได้

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการประกาศตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเติบโตมีการกระจายไปในหลายภาคส่วนมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การส่งออก การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาครัฐ ซึ่งทำให้หลายหน่วยงานมีการปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2561 ขึ้น รวมทั้งได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง เช่น มาตรการช้อปช่วยชาติ การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หรือการเตรียมออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวตลอดปี 2561 เป็นต้น รวมทั้งการที่กระทรวงการคลังและ ธปท.มีการคาดการณ์ว่าไม่น่าจะมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นในปี 2561 เพื่อเป็นการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จากมุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีการปรับประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2560 ลง เพื่อสะท้อนผลประกอบการช่วง 9 เดือนที่ประกาศออกมา แต่ยังคงประมาณการผลประกอบการปี 2561 ทำให้มีการคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2561 จะเติบโตถึง 12-13% จึงยังมีนักลงทุนทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ SET Index แกว่งตัวอยู่ในช่วง 1,700+/- จุด

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2560 SET Index ปิดที่ 1,697.39 จุด ปรับตัวลดลงจาก 1,721.37 จุด เดือนก่อนหน้า 1.4% โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว +10.4% กลุ่มธนาคารพาณิชย์ +3.4% และกลุ่มขนส่ง +2.0% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวลงมากที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -10.4% กลุ่ม ICT -8.6% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ -7.9% ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิค่อนข้างมากถึง 19,163 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศยังเป็นผู้ซื้อสุทธิ 5,291 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ยังคาดว่าตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มแกว่งตัวช่วงแคบ เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนชะลอการลงทุนเพื่อการพักผ่อนระยะยาว ในขณะที่ยังมีแรงซื้อจากกองทุน LTF/RMF ที่จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากนัก แต่ในระยะยาว ยังคาดว่าตลาดหุ้นจะยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ ตามการเติบโตที่เร่งตัวขึ้นของเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน