ภาวะตลาดหุ้นไทย – ธันวาคม 2560

ในเดือนธันวาคม SET Index มีการแกว่งตัวขึ้นตลอดทั้งเดือน จนสามารถปิดที่จุดสูงสุดของปีที่ 1,753.71 จุด ต่ำกว่าจุดสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์เพียง 0.02 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล การที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นที่ส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน การออกกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯที่ช่วยสนับสนุน Sentiment การลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งแรงสนับสนุนจากการซื้อกองทุน LTF/RMF ในช่วงสิ้นปี

SET Index ในเดือนธันวาคมมีการแกว่งตัวขึ้นตลอดทั้งเดือน จนสามารถปิดที่จุดสูงสุดของปีที่ 1,753.71 จุด ต่ำกว่าจุดสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์เพียง 0.02 จุด (SET Index ปิดสูงสุดที่ 1,753.73 จุด เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2537) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตดีขึ้น และคาดว่า Momentum จะต่อเนื่องไปในปี 2561 ด้วย ซึ่งการที่เศรษฐกิจโลกมีการเติบโตที่ดีขึ้นพร้อม ๆ กันทุกภูมิภาคนี้ จะส่งผลดีต่อภาคการค้าการลงทุนด้วย และทำให้นักวิเคราะห์มีการทยอยปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจขึ้น และในช่วงสิ้นปี รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันโครงการลงทุนพื้นฐานออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการท่องเที่ยวในหัวเมืองรอง 55 จังหวัด การออกมาตรการช่วยเหลือคนที่มีกำลังซื้อต่ำ ซึ่งรวมถึงกำลังพิจารณาบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเฟส 2 สำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท/ปี การลงนามสัญญาจ้างการก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง การอนุมัติการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทยจีนระยะแรก จากกลางดงถึงปางอโศก เป็นต้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยังได้รับผลดีจากแรงซื้อของกองทุน LTF/RMF ในช่วงสิ้นปี และทำให้ในเดือนธันวาคมนี้ สถาบันในประเทศมีการซื้อสุทธิสูงถึง 30,295 ล้านบาท

ปัจจัยภายนอกก็ส่วนสนับสนุนตลาดหุ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปีด้วย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 เป็นต้นไป หลังจากที่รอคอยมาตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงต้นปี ซึ่งการปฏิรูปภาษีนี้คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปี 2561 ได้มาก และส่งผลดีต่อ Sentiment การลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่การประชุม FOMC ในเดือนธันวาคม Fed มีการปรับขึ้น Fed Fund Rate ตามคาด นอกจากนี้ การที่ OPEC มีมติให้ขยายมาตรการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบออกไปถึงสิ้น 2561 และการที่ท่อส่งน้ำมันดิบในลิเบียระเบิดและส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันในลิเบีย รวมถึงการที่น้ำมันคงคลังของสหรัฐฯ ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ $60/บาร์เรลได้ ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยคาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 4 และปี 2561 จะออกมาดีด้วย

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนธันวาคม 2560 SET Index ปิดที่ 1,753.71 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 3.3% โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มพลังงาน +7.4% กลุ่ม ICT +6.7% และกลุ่มปิโตรเคมี +6.6% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวลงมากที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ -7.6% กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง -4.0% และกลุ่มการแพทย์ -3.4% ในเดือนธันวาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 8,957 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิถึง 30,295 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2560 นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ 25,755 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิสูงถึง 103,632 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มตลาดในปี 2561 บลจ.ทาลิส ยังคาดว่าตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นได้ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการค้าการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นด้วย ในขณะที่สภาพคล่องในระบบการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้นักลงทุนยังคงสนใจเข้าลงทุนในตลาดหุ้น และหากมีการประกาศกำหนดการเลือกตั้งทั่วไปว่าจะมีขึ้นภายในต้นปี 2562 ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

ในขณะที่ความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทยในปี 2561 ได้แก่ หากอัตราเงินเฟ้อมีการเพิ่มขึ้นเร็วกว่าคาด ในขณะที่ Fed มีการปรับขึ้น Fed Fund Rate ต่อเนื่อง จะส่งผลให้ความเสี่ยงที่ ธปท.จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นได้ การเข้าจดทะเบียนของ Saudi Aramco ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยคาดว่าจะมีการ IPO หุ้นประมาณ 5% แต่มีมูลค่าสูงถึง $100,000 ล้าน จะทำให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกต้องมีการปรับ Portfolio การลงทุน เพื่อรองรับการเข้าลงทุนใน Aramco และความเสี่ยงเกี่ยวกับ Bitcoin ที่หากฟองสบู่ Bitcoin แตก อาจจะส่งผลให้นักลงทุนมีการขายสินทรัพย์อื่น ๆ ที่ถืออยู่ เพื่อไปชดเชยการขาดทุนจากการลงทุนใน Bitcoin ได้