ภาวะตลาดหุ้นไทย – มกราคม 2562

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้น +4.39% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2561 จากปัจจัยบวกภายในประเทศ ได้แก่ การเมืองไทยที่เริ่มมีความชัดเจนขึ้น และปัจจัยจากต่างประเทศ เช่น ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น และการส่งสัญญาณการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED

SET Index เคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้นตั้งแต่ต้นปี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากระดับประมาณ 45 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 52 - 54 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงเดือนมกราคม ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้น ประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 24 มีนาคม 2562 ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนถึงช่วงปลายเดือน

สำหรับด้านต่างประเทศ ทางฝั่งของสหรัฐฯ ได้ยุติการปิดทำการชั่วคราวของหน่วยราชการบางส่วน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยินยอมลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลกลับมาเปิดดำเนินงานและมีงบประมาณบริหารงานได้จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2562 นอกจากนี้ ในวันที่ 30 มกราคม 2562 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมกับส่งสัญญาณชะลอขึ้นดอกเบี้ย และอาจจะยุติการลดขนาดของงบดุลในไม่ช้า ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณการใช้นโยบายการเงินในเชิงผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนทั่วโลกเข้าสู่ภาวะชอบความเสี่ยงมากขึ้น และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งตลาดไทยปรับตัวขึ้น กระแส Fund Flows เริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดไทยและดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุล ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือน ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 9 เดือน

ความคืบหน้าของการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และจีน เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยจีนเตรียมที่จะนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ จำนวน 5 ล้านตัน ซึ่งเป็น 2 เท่าของจำนวนที่นำเข้าในเดือนธันวาคม 2561 และทางผู้นำของจีนและสหรัฐฯ จะมีการเจรจากันเพิ่มเติมในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตลาดเริ่มมีความหวังว่าทั้งสองประเทศนี้ จะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ภายในวันที่ 1 มีนาคม 2562 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในระยะต่อไป

ส่วนในฝั่งยุโรป ผลการลงมติต่อร่าง Brexit ฉบับแก้ไข มีมติเห็นชอบไม่ให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปโดยไม่มีข้อตกลง (Hard Exit) และให้นางเทเรซ่า เมย์ เจรจากับสหภาพยุโรปเรื่องข้อตกลงพรมแดนไอร์แลนด์เหนือและไอร์แลนด์อีกครั้ง (Irish Backstop) ซึ่งกระบวนการหลังจากนี้ นางเมย์จะปรับปรุงร่างข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่ และมีโอกาสสูงที่จะได้รับความเห็นชอบ เนื่องจากทราบความต้องการของรัฐสภาอย่างแน่ชัดแล้ว ทำให้ความกังวลเรื่องนี้ลดลงไป และการที่ประเด็น Brexit ยังอยู่ในกรอบเวลา ทำให้ค่อนข้างเป็นปัจจัยที่เป็นกลางต่อตลาด

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนมกราคม 2562 SET Index ได้ปิดที่ 1,641.73 จุด ปรับตัวขึ้นจากระดับ 1,563.88 จุด หรือประมาณ +4.39% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2561 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร +9.0% กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม +8.9% และกลุ่มพาณิชย์ +7.7% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -6.1% กลุ่มการแพทย์ -1.8% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ +1.2% ในเดือนมกราคมนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 6,722 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 10,031 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มของ SET Index ในระยะต่อไปนั้น คาดว่ายังคงมีทิศทางค่อยๆ ปรับตัวขึ้น และอาจมีแรงขายทำกำไรบ้างหลังการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน และช่วงใกล้วันเลือกตั้งในเดือนมีนาคม แม้ว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นมาพอสมควร แต่หากดู Valuation แล้ว ณ ระดับปัจจุบัน ค่าพีอีของ SET Index ในปี 2019 ที่ระดับ 14.8 เท่า ยังอยู่ในกรอบค่าพีอีที่ทางบลจ.ทาลิส ประเมินไว้ในช่วง 13.5 – 16 เท่า หรือ SET Index มีโอกาสจะปรับตัวขึ้นได้ถึงบริเวณ 1,840 จุด โดยกองทุนยังคงเน้นการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีผลประกอบการดี มีอัตราการเติบโตสูง และมีมูลค่าเหมาะสม