ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -1.07% จากสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 จากการปรับลดกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศชะลอตัว และการขายหุ้นของกองทุนเพื่อเตรียมเงินไปจองซื้อหุ้น AWC
ในช่วงต้นเดือนกันยายน ตลาดหุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องจากเดือนสิงหาคม จากการที่สหรัฐฯ และจีนมีการนัดหมายเจรจาเรื่องสงครามการค้ากันในต้นเดือนกันยายน ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง อีกทั้งยังได้แรงหนุนจากปัจจัยบวกในประเทศ เมื่อครม.เศรษฐกิจมีมติเห็นชอบ “ไทยแลนด์ พลัส แพคเกจ” ซึ่งเป็นแพคเกจเร่งรัดการลงทุน และรองรับการย้ายฐานการผลิตมาสู่ประเทศไทยเนื่องจากผลกระทบของสงครามการค้า เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นเวลา 5 ปี สำหรับโครงการที่มีการลงทุนขั้นต่ำ 1,000 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
ต่อมา ในวันที่ 14 กันยายน เกิดเหตุโดรนโจมตีโรงงานน้ำมัน 2 แห่งของบริษัท อารัมโก ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของประเทศซาอุดิอาระเบีย ทำให้กำลังการผลิตหายไปกว่า 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือกว่า 50% ของกำลังการผลิตของประเทศ และคิดเป็น 5% ของการผลิตน้ำมันของโลก โดยมีกลุ่มกบฏในเยเมนเป็นผู้โจมตีและยังคงข่มขู่ที่จะโจมตีต่อ ในขณะที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าอิหร่านเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและพร้อมใช้กำลังทหารตอบโต้ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูงสุดใน 1 วันเป็นประวัติการณ์ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดกว่า +19.5% จากนั้นราคาน้ำมันค่อย ๆ อ่อนตัวลงหลังจากที่ซาอุดิอาระเบียประกาศแผนซ่อมแซมโรงกลั่นและคาดว่ากำลังการผลิตส่วนใหญ่จะกลับมาดำเนินงานปรกติได้ในเวลา 10-15 วัน
ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งแรกของเดือนยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ได้แก่ Fed ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เป็น 1.75% - 2.00% ทาง ECB ได้ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.10% สู่ระดับ -0.50% และจะเริ่มการซื้อคืนพันธบัตรในวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือนตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป รวมทั้ง ทางจีนก็ได้ลด RRR ลง 0.50% ด้วย นอกจากนี้ ทางรัฐสภาอังกฤษก็มีการผ่านร่างกฎหมายป้องกัน Hard Brexit ทำให้นายกฯต้องไปเจรจากับทาง EU ในการขยายเส้นตาย Brexit ออกไปจากเดิม 31 ตุลาคม 2562 เป็น 31 มกราคม 2563 ซึ่งทำให้ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ Brexit ถูกเลื่อนออกไป
ทว่าในช่วงครึ่งเดือนหลัง SET Index ค่อย ๆ ปรับตัวลง สาเหตุหนึ่งมาจากการขายหุ้นของกองทุนเพื่อเตรียมเงินสำหรับการจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัท แอสเสท เวิร์ด คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ “AWC” ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง AWC มีการระดมทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์การระดมทุนในตลาดหุ้นไทย ด้วยมูลค่า IPO ประมาณ 48,000 ล้านบาท และมีมูลค่าตลาดประมาณ 192,000 ล้านบาท และคาดว่าจะได้เข้ามาอยู่ใน SET50 ทันที่หลังจากเข้าเทรดในวันแรก และทำให้หุ้นใน SET 50 บางตัวถูกขายเนื่องจากความกังวลว่าอาจจะถูกถอดออกจากอันดับ กดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกนง. ประจำเดือนกันยายน ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% แต่ในขณะเดียวกัน ได้มีการปรับลดการคาดการณ์จีดีพีในปีนี้ลงจาก 3.3% เหลือ 2.8% และปรับลดจีดีพีในปี 2563 ลงจาก 3.7% เหลือ 3.3% ซึ่งเป็นผลจากการส่งออกที่หดตัว ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้านั่นเอง
สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกันยายน 2562 SET Index ปิดที่ 1,637.22 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,654.92 จุด หรือประมาณ -1.07% จากสิ้นเดือนสิงหาคม 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มพลังงาน +2.2% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +1.4% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ +1.2%ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่ม ICT -4.9% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ -4.3% และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม -3.5% ในเดือนกันยายนนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 11,658 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 8,164 ล้านบาท