ภาวะตลาดหุ้นไทย – กรกฎาคม 2564

SET Index ปรับตัวลง -4.1% สู่ระดับ 1,521.92 จุด โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยปัจจัยภายในคือ ปัญหาการกระจายวัคซีนและจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังกระทบจากปัจจัยภายนอก ในเรื่องความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าในหลายประเทศ

ปัจจัยภายนอกที่กดดัน SET เกิดจากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังจากที่หลายประเทศเผชิญการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้า ทำให้สหรัฐฯ ประกาศให้ประชาชนกลับมาใส่หน้ากากอนามัยในบางรัฐฯ เช่นเดียวกับบางประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส ที่ยอดผู้ติดเชื้อเริ่มเร่งตัวอีกครั้ง และหลายประเทศในเอเชียที่สถานการณ์การแพร่ระบาดย่ำแย่อย่างมาก เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ทำให้แต่ละประเทศมีการใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการควบคุมการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง หลังการประชุม OPEC+ ที่มีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันรวม 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยปรับเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2564 รวมถึงเพิ่มโควตาการผลิตน้ำมันให้กับบางประเทศตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ทำให้การผลิตน้ำมันขั้นต่ำของ OPEC+ เพิ่มขึ้นจาก 43.853 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 45.485 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ ถูกกดดันจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมทั่วประเทศพุ่งสูงกว่า 10,000 รายต่อวันตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสม (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564) ณ วันที่ 31 กรกฎาคม อยู่ที่ 568,424 คน เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 230,438 คน ส่งผลให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต้องประกาศมาตรการ Lockdown เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา โดยมีการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมของบุคคลที่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม ดังนี้ 1) ร้านสะดวกซื้อ ตลาด ห้าง (เปิดได้เพียงซุปเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร ร้านขายยา) สวนสาธารณะ ปิด 20.00 น. 2) ปิดร้านนวด คลินิก สปา 3) ห้ามรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน 4) ห้ามออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 21.00 น. ถึง 04.00 น. 5) ห้ามการเดินทางข้ามจังหวัด พร้อมทั้งขยายระยะเวลาประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั่วราชอาณาจักรถึง 30 กันยายน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักอีกครั้ง ก่อให้เกิด Downside ต่อประมาณการของเศรษฐกิจไทย ซึ่งคาดว่าการ Lockdown รอบนี้จะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน ขณะที่การกระจายวัคซีนค่อนข้างล่าช้า โดย ณ วันที่ 25 กรกฎาคม ประชากรไทยได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกเพียง 17.63% ของประชากร ต่ำกว่าทวีปเอเชียที่ฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแล้ว 27.32% และทั่วโลกที่ 27.34% ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าที่สุดในรอบ 15 ปี มาอยู่ที่ระดับ 32.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างจำกัด เป็นอีกปัจจัยที่กดดัน SET

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 SET Index ปิดที่ 1,521.92 จุด ปรับตัวลง 65.87 จุดหรือ -4.1% จากสิ้นเดือนที่แล้ว โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการ Lockdown ล้วนแต่ปรับตัวลงหนักในเดือนนี้ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3.2% กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 1.9% กลุ่มการแพทย์ 1.0% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -9.9% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -8.7% กลุ่มธนาคาร -8.3% ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 2,912.09 ล้านบาท และ 17,663.85 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 3,555.86 ล้านบาท และ 17,020.08 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 9,460.91 ล้านบาท และ 128,168.95 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 44,347.59 ล้านบาทและ 93,282.26 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่ม ICT แต่ลดสัดส่วนการถือครองในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง พลังงาน อสังหาริมทรัพย์และขนส่ง ขณะที่ Performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex. Japan ในช่วง 1 เดือนก่อนหน้าเท่านั้น แต่ 3, 6 และ 12 เดือนก่อนหน้ายังคงแย่กว่า ทั้งนี้ ในส่วนของประมาณการกำไรฯ ปี 2564 ของ SET นั้น Consensus มีการปรับประมาณการกำไรขึ้น 0.70% เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไต้หวัน ปรับขึ้น 2.48%, 2.20% และ 1.82% ตามลำดับ