ภาวะตลาดหุ้นไทย – ตุลาคม 2565

ตลาดหุ้นไทยเดือนตุลาคม SET Index ปิดที่ระดับ 1,608.76 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.21% จากเดือนก่อน โดยปรับลงในช่วงครึ่งเดือนแรกตามทิศทางตลาดหุ้นโลก กดดันจากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมากขึ้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังปรับสูงกว่าที่ตลาดคาด และ FED จะยังคงนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นโลกสามารถฟื้นตัวขึ้นในครึ่งเดือนหลัง จากความคาดหวังว่า FED จะเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยช้าลงหลังการประชุมเดือนพฤศจิกายน ทำให้มีเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงการคาดหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังปัญหาน้ำท่วมคลี่คลาย และรัฐอาจจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี นอกจกนี้ ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ที่ทยอยประกาศออกมาก็มีแนวโน้มเติบโตดี ทำให้ SET Index มีการปรับตัวขึ้นได้

สำหรับปัจจัยกดดันจากต่างประเทศนั้น หลังจากสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อประจำเดือนกันยายนออกมาที่ 8.3% มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ที่ 8.1% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานนั้นอยู่ที่ 6.6% มากกว่าที่ตลาดคาดที่ 6.5% เช่นกัน โดยมีปัจจัยผลักดันหลักจากราคาอาหารและค่าเช่าบ้าน ทำให้ตลาดปรับเพิ่มโอกาสที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อไปอีก 75 bps ซึ่งจะเป็นการขึ้นที่ 75 bps ครั้งที่ 4 และตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะไปจบที่ 5% ในสิ้นปี 2565 จากสถานการณ์ข้างต้นสร้างความกังวลต่อนักลงทุนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาวะถดถอยได้ นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย โดยทางรัสเซียได้เรียกระดมพลถึงสามแสนนาย ปรับเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีที่เน้นไปยังโครงสร้างพื้นฐานของยูเครนมากขึ้น เพื่อตอบโต้ที่สะพานเชื่อมรัสเซีย-ไครเมียนั้นถูกทำลาย โดยความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินต่อไปเมื่อรวมกับการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC+ กลายเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาพลังงานยังคงอยู่ในระดับสูง และทำให้ปัญหาเงินเฟ้อคลี่คลายได้ยาก

อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดหุ้นโลกในช่วงครึ่งหลังของเดือนเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เมื่อนักลงทุนคาดการณ์ว่า FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน แล้วจะลดลงเหลือ 50 bps ในเดือนธันวาคม และเหลือ 25 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2566 ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศจากการที่สถาณการณ์น้ำท่วมในประเทศเริ่มคลี่คลายลง และรัฐบาลมีแนวโน้มจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยล่าสุดมีกระทรวงการคลังกำลังพิจารณาถึงโครงการคนละครึ่งระยะที่หก และโครงการช๊อปดีมีคืน ในขณะที่แนวโน้มผลประกอบการณ์ของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง นำด้วยการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ทั้ง 10 แห่งที่มีอัตราเติบโตที่ 27.89% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในส่วนของประมาณการกำไรสุทธิ ปี 2565 ของ SET นั้น นักวิเคราะห์มีการปรับขึ้น 1.6% ส่วนทางกับตลาดอื่นในภูมิภาค ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง จีน และมาเลเซีย ที่ปรับลง 5.09%, 4.11%, 1.45%, 0.91% และ 0.85% ตามลำดับ จากปัจจัยภายในเชิงบวกทั้งหมดส่งผลให้ SET Index สามารถพลิกกลับมาปิดที่ 1,608.76 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 1.21% จากเดือนก่อน

สรุปในเดือนตุลาคม หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 4.9% กลุ่มพาณิชย์ 4.8% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง 4.0% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนลดลงมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -9.5% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -3.4% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -3.2% โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิที่ 8.6 พันล้านบาท หลังจากขายที่ 2.4 หมื่นล้านในเดือนก่อน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 8.2 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.7 พันล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศขายสุทธิ 16.1 พันล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี น่าจะยังอยู่ในทิศทางแกว่งตัวขึ้น จากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี นอกจากนี้ แนวโน้มปัญหาเงินเฟ้อของประเทศมีแนวโน้มจะเริ่มผ่อนคลายลง และ กนง.ก็มีแนวโน้มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปัจจัยเหล่านี้น่าจะสนับสนุนให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้