ตลาดหุ้นไทยเดือนพฤศจิกายน: ดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้ ปิดที่ระดับ 1,635.36 จุด เพิ่มขึ้น 1.65% จากเดือนก่อน แม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะอ่อนตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากการปรับลงของราคาพลังงานจนทำให้ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มพลังงานปรับลดลง อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มชะลอตัวการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมกับการที่รัฐบาลจีนเริ่มส่งสัญญาณการผ่อนคลายนโยบาย Zero Covid และประเทศไทยมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถกลับมาปิดในแดนบวกได้ในเดือนที่ผ่านมา
สำหรับปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกนั้นเริ่มจากฝั่งสหรัฐฯ ที่มีการประชุมของ FED ในช่วงต้นเดือน โดยมีมติปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 75 bps เข้าสู่ระดับ 3.75% - 4.00% และให้ภาพกับนักลงทุนว่า FED จะยังมีความจำเป็นที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง ถึงแม้ว่าจะเริ่มให้สัญญาณว่าการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นมีโอกาสชะลอปรับการเพิ่มขึ้นในครั้งถัดไป ซึ่งทั้งหมดไม่ได้ผิดไปจากที่นักลงทุนคาดการณ์ โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Terminal Rate ของ FED จะอยู่ที่ประมาณ 5% นอกจากนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มอ่อนตัวลง โดยอัตราว่างงานที่เพิ่มจากระดับ 3.5% สู่ 3.7% และรายงานเงินเฟ้อ CPI และ PPI ประจำเดือนตุลาคมก็ต่ำกว่าตลาดคาด ยิ่งสนับสนุนมุมมองของนักลงทุนว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะเดียวกัน ในส่วนของฝั่งเอเชียเอง ประเทศจีนได้เริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายมาตรการ Zero Covid เนื่องจากมาตรการดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจีนอย่างมาก อีกทั้งความรุนแรงของอาการ Covid สายพันธุ์โอไมครอนก็น้อยกว่าสายพันธุ์อื่นก่อนหน้า ทำให้ทางการจีนเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีควบคุมการระบาด
สำหรับปัจจัยภายในนั้น ผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนที่ภาพรวมมีกำไรสุทธิ 2.28 แสนล้านบาท ลดลง 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุหลักมาจากราคาพลังงานที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจนทำให้บริษัทในกลุ่มนี้ต้องมีการบันทึกขาดทุนของสินค้าคงคลัง อย่างไรก็ตาม กลุ่มท่องเที่ยวยังคงมีผลประกอบการที่โดดเด่นจากการกลับมาเปิดประเทศ ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนใน SET ในช่วง 9 เดือนแรกกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.37 แสนล้านบาท เทียบกับปีก่อนจะยังคงเติบโตที่ 10.37% นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายลูกเลือกตั้งไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้กฎเกณฑ์สำหรับการเลือกตั้งใหญ่รอบถัดไป ถือเป็นเกณฑ์ที่ผ่านการพิจารณาร่วมกันของทุกฝ่าย ทำให้การเลือกตั้งครั้งถัดไปสามารถใช้เกณฑ์การเลือกตั้งที่มีการแก้ไขได้
สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 16.5% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ 6.7% และกลุ่มยานยนต์ 5.7% ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -4.4% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
-3.0% และกลุ่มธุรกิจการเกษตร -2.0% โดยนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิที่ 3.11 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศขายสุทธิ 1.03 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.26 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศขายสุทธิ 1.82 หมื่นล้านบาท
แนวโน้มภาวะการลงทุนในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้ายังมีทิศทางที่ดี จากการที่ FED มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยลง ทำให้ผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการที่ FED จะยังคงเร่งนโยบายการเงินที่เข้มงวด จีนมีแนวโน้มจะเปิดประเทศมากขึ้น และเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ