SET Index เดือนธันวาคมปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.04% จากเดือนก่อน โดยเป็นการปรับลดลงในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือน จากสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย อาทิเช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อประจำเดือนพฤศจิกายน (PMI) ของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปี 2563 นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการที่ธนาคารกลางประเทศญี่ปุ่นส่งสัญญาณการใช้นโนบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยการประกาศขยายกรอบการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายเดือน โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากทั้งเรื่องที่ทางการจีนประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาด และความชัดเจนจากมาตรการช้อปดีมีคืน ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสแรกของปีถัดไป
สำหรับปัจจัยจากภายนอกนั้น ในช่วงแรกจะเป็นปัจจัยกดดันเป็นหลัก โดยนอกจากดัชนี PMI ประจำเดือนพฤศจิกายนจะปรับตัวลดลงแล้ว ตัวเลข Flash PMI ของสหรัฐฯ ประจำเดือนธันวาคมก็ยังมีแนวโน้มลดลงและแย่กว่าที่ตลาดคาด ทั้งนี้ ผลประชุมของ FED ครั้งล่าสุดมีมติเพิ่มอัตราดอกเบี้ยที่ 50 bps ตามที่ตลาดคาด แต่ระดับของ FED Dot Plot ใหม่นั้นอยู่ที่ 5.0 – 5.25% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ สะท้อนว่า FED มีแนวโน้มคงความเข้มงวดของนโยบายไว้ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่สภาวะถดถอยในปีหน้า นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากธนาคารกลางของประเทศญี่ปุ่นที่ประกาศขยายกรอบการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว โดยให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากจากเดิมที่ +/-0.25% สู่ระดับ +/-0.5% ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าญี่ปุ่นอาจจะเริ่มมาใช้เปลี่ยนนโยบายที่เข้มงวดมากขึ้น โดยการยอมให้ผลตอบแทนพันธบัตรสามารถปรับตัวได้สูงขึ้น ย่อมหมายถึงการแทรกแซงผ่านการรับซื้อพันธบัตรที่น้อยลง รวมไปถึงการยอมให้ต้นทุนในการกู้ยืมของภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นด้วย ส่วนปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกนั้นเป็นเรื่องประเทศจีนที่ประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์พอสมควร โดยสาเหตุในการตัดสินใจเปิดประเทศของจีนนั้นมาจากแรงต่อต้านจากภาคประชาชนที่เริ่มมีการออกมาประท้วง ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากนโยบาย Zero Covid19 นอกจากนี้ โควิดสายพันธุ์โอไมครอนก็ไม่ได้มีความรุนแรงเหมือนสายพันธุ์ก่อนหน้าด้วย การเปิดประเทศของจีนได้สร้างความหวังว่าภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทยจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าเดิม การเจรจาติดต่อทางธุรกิจก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2566
สำหรับปัจจัยสนับสนุนภายในจะเป็นเรื่องของการที่ ครม.อนุมัติมาตรการช้อปดีมีคืน ที่จะสามารถลดหย่อนภาษีในปี 2566 โดยต้องเป็นการใช้จ่ายในช่วงวันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566 โดยตลาดคาดว่ามาตรการข้างต้นจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 1 ส่วนอีกปัจจัยคือการที่ DELTA จะถูกรวมอยู่ในการคำนวณ SET50 และ SET100 ในรอบถัดไป จนทำให้เกิดแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้น DELTA ที่มีสภาพคล่องน้อย (สัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยอยู่เพียงร้อยละ 22.35%) จนทำให้ DELTA กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย และกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยเดือนธันวาคมปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.04% จากเดือนก่อน
สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 18.9% กลุ่มพาณิชย์ 4.7% และธุรกิจการเกษตร 4.3% โดยกลุ่มที่ให้ผลตอบติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ -2.9% กลุ่มยานยนต์
-2.9% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -2.6% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -2.5% โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 1.27 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศขายสุทธิ 1.62 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.1 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.45 หมื่นล้านบาท
เรายังคงมุมมองในการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2566 ว่าตลาดยังมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี ทั้งจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่อาจจะมากกว่าที่ตลาดคาดจากการที่จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาดการณ์เดิม การที่ FED มีแนวโน้มจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงหากปัญหาเงินเฟ้อมีทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ จะยังมีเม็ดเงินที่จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนการเลือกตั้งของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ตลาดอาจจะมีการปรับฐานได้ในระยะสั้น ๆ จากแรงขายกองทุน LTF ที่ครบกำหนด