ภาวะตลาดหุ้นไทย – มกราคม 2566

SET Index เดือน มกราคม ปิดระดับ 1,671.46 จุด ทรงตัวในกรอบแคบ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.17% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยช่วงสัปดาห์แรกเป็นการแกว่งขึ้นต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้วตอบรับความคาดหวังเชิงบวกจากการที่ประเทศจีนประกาศเปิดประเทศในวันที่ 8 มกราคม เร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ อย่างไรก็ตาม ตลาดค่อย ๆ ปรับตัวลง จากแรงกดดันของการทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็นปัจจัยกดดันทำให้ SET Index ยังไม่สามารถปรับตัวเหนือ 1,700 จุดได้ในเดือนมกราคมนี้

สำหรับปัจจัยสนับสนุนจากภายนอกเริ่มที่ทางการประเทศจีนได้ตัดสินใจเปิดประเทศเร็วกว่าการคาดการณ์เดิม โดยสาเหตุหลักมาจากภาคเศรษฐกิจได้รับแรงกดดันอย่างมากจากนโยบาย Zero Covid19 ประกอบกับเริ่มมีการชุมนุมประท้วงของประชาชนที่ไม่พอใจกับนโยบายข้างต้น รวมไปถึงการที่โควิดสายพันธุ์โอไมครอนก็ไม่ได้มีความรุนแรงเหมือนสายพันธุ์ก่อนหน้าด้วย โดยนักลงทุนต่างคาดหวังว่าการเปิดประเทศของจีนจะทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวเร็วกว่าเดิม โดยนอกจากกลุ่มท่องเที่ยวที่จะได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว ภาพรวมการบริโภคภายในประเทศก็จะได้รับประโยชน์ทางอ้อม จากการจ้างงานของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบของภาคส่งออกที่ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกที่มีโอกาสเกิดภาวะถดถอยได้ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศกลับกลายเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในเดือนที่ผ่านมา เริ่มจากผลการดำเนินงานของ KBANK ออกมาผิดคาดจากการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานของ SCB และ KKP ก็ยังอ่อนแอกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทว่าหากมองภาพรวมแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มธนาคารก็ยังมีแนวโน้มที่ดีตามการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 1.5% และมีโอกาสขึ้นไปที่ 2.0% ภายในปี 2566 นอกจากกลุ่มธนาคารแล้ว ผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SCPG และ SCC ก็ไม่ดีนักเนื่องจากได้รับผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและความต้องการใช้สินค้าที่ยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว โดยภาพรวมเรามองว่ามีโอกาสที่ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 4 ของบริษัทจดทะเบียนจะอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาดไว้ และมีโอกาสที่จะกลายเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นในช่วงต้นปีได้

สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดคือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 8.7% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ 7.7% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง 5.0% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุดได้แก่ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -3.2% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค -2.6% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -2.0% โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิที่ 1.80 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.03 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.6 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศขายสุทธิ 2.43 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2566 เรามองว่าภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง ซึ่งจะยังช่วยให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจในฝั่งตะวันตกที่ไม่ได้ถดถอยรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้เดิม อาจจะทำให้กระแสเงินบางส่วนของนักลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดพัฒนาแล้ว