SET Index ปิดที่ระดับ 1,503.10 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.98% โดยดัชนีขยับขึ้นมาในช่วงครึ่งเดือนแรก ก่อนจะปรับตัวลงมาแรงในช่วงครึ่งหลังของเดือน โดยมีปัจจัยกดดันทั้งจากภายนอกและภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ของ SET Index อยู่ที่ -9.92% ให้ผลตอบแทนรั้งท้ายในตลาดภูมิภาคเอเชีย
สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกปัจจัยแรก ได้แก่ การที่ FED ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจทั้งการบริโภค ตลาดแรงงาน และราคาบ้าน ในเดือนล่าสุดยังออกมาแข็งแกร่งปัจจัยกดดันถัดมาคือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนผ่านรายงานยอดส่งออกจีนเดือนพฤษภาคม ที่ปรับตัวลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของผู้เรียนจบใหม่ก็ยังสูง ทำให้มีการทยอยปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GPD ประเทศจีนลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากข่าวรัฐบาลจีนกำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาพยุงตลาดไว้
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยกดดันหลักนั้นหนีไม่พ้นเรื่องความไม่ชัดเจนทางการเมือง หลังมีข่าวว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่สามารถตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกันได้ และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่นายพิธาจะขึ้นเป็นนายกฯ เนื่องจากอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาไม่เพียงพอ นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยลบจากหลายบริษัทในตลาด ได้แก่ (1) DELTA ที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงหลังจากถูกมาตรการกำกับซื้อขาย (2) TRUE และ DIF ที่นักลงทุนกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและ TRUE อาจยกเลิกการใช้เสาของ DIF (3) JMART และ JMT ที่ถูกเทขายเนื่องจากถูกถอดออกจากดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลัง (4) EA, NEX และ BYD ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงหลังมีข่าวรถบัสไฟฟ้าไฟไหม้ และท้ายที่สุด (5) STARK ที่มีข่าวการทุจริตและพยายามตกแต่งบัญชี ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อบริษัทในตลาดโดยรวม
สรุปในเดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 4.2% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 2.1% และกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 1.5% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ -10.0% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -9.9% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -9.7% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 9.1 พันล้าน โดยเป็นการขายสุทธิห้าเดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 2.9 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 8.1 พันล้านบาท
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นำโดยการท่องเที่ยวและการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก และไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ปัจจัยกดดันตลาดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจจะกดดันบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่มได้