SET Index ในเดือนธันวาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1429.62 จุด เพิ่มขึ้น 0.97% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยสนับสนุนจากมุมมองเฟดในเรื่องนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯที่ผ่อนคลายมากขึ้น เม็ดเงินใหม่จากกองทุน THAIESG อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศยังกดดันดัชนีในช่วงต้นเดือนจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อมาตรการภาครัฐ รวมทั้งเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและมีความเสี่ยงที่ปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า และตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของปี 2566 และ 2567 ที่ลดลง โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบ 1358 -1416 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 38,095 ล้านบาท (-14.44% MoM)
ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นเดือนมีการปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ ราคาหุ้นธุรกิจนํ้ามันและโรงกลั่นปรับลดลงมากกดดันดัชนีหลังราคานํ้ามันดิบ WTI ร่วงหลุดลงมาตํ่ากว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับตํ่าสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐกดดัน เช่น การปรับขึ้นค่าเอฟที (Ft) ที่ยังไม่มีความชัดเจน และราคาหุ้นธุรกิจเช่าซื้อและบัตรเครดิตที่ปรับตัวลงภายหลังนายกรัฐมนตรีแถลงจัดการหนี้ทั้งระบบ โดยจะออกมาตรการแก้ไขอย่างเหมาะสมแก่ลูกหนี้แต่ละประเภท ทำให้ตลาดคาดการณ์ผลกระทบได้ยาก โดยดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุด 1354.73 จุด ทำระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปี
ดัชนีฟื้นตัวได้ดีขึ้นภายหลังการทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% ตามคาด พร้อมกับมุมมองในเรื่องนโยบายดอกเบี้ยในเชิงที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 มากกว่า 3 ครั้ง และในปี 2568 จะปรับลดลงอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง เมื่อประกอบกับท่าทีของเจ้าหน้าที่ ธนาคารกลางยุโรปที่ไม่ได้ดูผ่อนคลายเท่ากับทางเฟด ส่งผลให้สกุลเงินดอลล่าร์ฯ อ่อนค่าลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ (Trade-weighted US Dollar Index) ที่อ่อนค่าแรง ได้สนับสนุนให้ฟันด์โฟลว์ ต่างชาติกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ประกอบกับเริ่มมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกองทุน THAIESG ที่มีลักษณะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้น ESG หรือหุ้นยั่งยืน คือ คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นหลัก ทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1400 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 11 ที่ 203 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.94 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 13.0% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 4.7% และกลุ่มธุรกิจการเกษตร 4.7% ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -2.4% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -1.7% และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -1.64% ที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต้นของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลง ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม