ภาวะตลาดหุ้นไทย – มิถุนายน 2561

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา บลจ.ทาลิสมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวตั้งแต่ปี 2560 และในปี 2561 นี้ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้น โดยการเติบโตได้มีการกระจายตัวไปยังทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนภาครัฐ การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคเอกชน โดยได้รับแรงกระตุ้นจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่เติบโตดีขึ้น นโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การท่องเที่ยวที่ยังเติบโตดี และนโยบายโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตได้ประมาณ 10% เมื่อประกอบกับแนวโน้มการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ก็เชื่อว่าภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นยังมีทิศทางที่ดี และ SET Index ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวขึ้นได้ แม้ว่าการปรับตัวขึ้นในปีนี้จะน้อยกว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม

ในขณะที่ปัญหาเรื่องเงินลงทุนไหลออกนั้น ผลกระทบต่อตลาดหุ้นมีน้อยกว่าในอดีตที่ผ่านมามาก และเชื่อว่าสภาพคล่องในประเทศเองสามารถรองรับการลดการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติได้ ดังจะเห็นได้จากในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการทยอยลดการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีการขายสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2561 ถึง 180,077 ล้านบาท แต่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปี 2556 และ 2558 ที่นักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิในระดับเดียวกัน แต่ SET Index มีการปรับตัวลดลงถึง 25% รวมทั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระดับที่น้อยมาก (ในช่วงปี 2551 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2561 นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิเพียง 4 ปี จำนวน 274,779 ล้านบาท แต่มีการขายสุทธิถึง 7 ปี จำนวน 759,496 ล้านบาท และสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำนับตั้งแต่ปี 2546) ขณะเดียวกัน ในด้านความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed นั้น นักลงทุนในตลาดได้รับรู้ถึงแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นของ FED ที่มีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 และประมาณการที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึงปี 2562 แล้ว ในขณะที่ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่องและในปริมาณที่สูง ซึ่งสามารถรองรับเงินลงทุนสุทธิที่ไหลออกได้ และทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนน้อยกว่าค่าเงินสกุลอื่นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM)

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยมีการเปลี่ยนแปลงในทางลบในเดือนที่ผ่านมาจากปัจจัย “Trade War” หรือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกับประเทศจีนที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าจำนวนมากถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสหรัฐฯ มีการตั้งกำแพงภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนประเภทเครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเกี่ยวกับยานพาหนะ มูลค่า 34 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีผลในวันที่ 6 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจีนได้ตอบโต้โดยการตั้งกำแพงภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ประเภทสินค้าเกษตรและอาหาร และรถยนต์ มูลค่า 34 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีผลวันที่ 6 กรกฎาคมเช่นกัน ทำให้สหรัฐฯ มีการประกาศจะตั้งกำแพงภาษีอีก 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 200 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าสงครามการค้าจะยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และเชื่อมโยงถึงการที่ FED อาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีนี้เพิ่มอีก 1 ครั้ง รวมถึงการที่สหรัฐฯ และ EU กำลังจะมีการลด QE (ซึ่ง 2 ปัจจัยหลังตลาดได้รับรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว) จึงทำให้กังวลว่าค่าเงินของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) จะอ่อนตัวลง และมีการย้ายเงินลงทุนกลับไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น จึงเร่งให้มีการขายหุ้นในตลาดหุ้นกลุ่มประเทศ EM มากขึ้นและเร็วขึ้น

สำหรับประเทศไทยเอง ความกังวลดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยมากขึ้น และทำให้นักงทุนไทยมีความวิตกกังวลมากขึ้นและชะลอการลงทุน และเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงมาระดับหนึ่ง ก็มีแรง Force ขายหุ้นของบัญชี Margin และ Block Trade ผสมโรงเข้ามา รวมถึงการปิด Position สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่หมดอายุในเดือนมิถุนายนนี้ด้วย ทำให้ SET Index ในเดือนมิถุนายนปรับตัวลงอย่างรวดเร็วถึง 7.6%

บลจ. ทาลิสคาดว่า แม้ว่าประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจไม่ได้จบได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะทำให้ความผันผวนของตลาดหุ้นยังมีโอกาสเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง แต่นักลงทุนก็มีการรับรู้และปรับการลงทุนไประดับหนึ่งแล้ว และเนื่องจากผลกระทบจากสงครามการค้าไม่เป็นผลดีต่อทุกประเทศรวมทั้งสหรัฐฯ เอง ทำให้คาดว่าปัญหาสงครามการค้าดังกล่าวจะจบลงด้วยการเจรจาต่อรองกันมากกว่า ทั้งนี้ สิ่งที่สหรัฐฯ และจีนประกาศกำแพงภาษีออกมาแล้วนั้น หากมีการบังคับใช้จริงก็คาดว่าจะกระทบต่อการเติบโตของ GDP ของจีนไม่เกิน 0.5% เท่านั้น ในทางกลับกัน หากปัญหาดังกล่าวมีการเจรจาตกลงกันได้ จะกลับมาเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น และทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกได้อีกครั้ง เนื่องจากในภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจโลกยังไม่มีปัจจัยใดที่ชี้ว่ากำลังเกิดวิกฤติในภูมิภาคใด จนส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดโลกหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ (การลด QE ของสหรัฐฯ เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และไม่ได้ทำให้ Money Supply ของสหรัฐฯ ลดลง ส่วนกลุ่มประเทศ EU ก็ยังไม่หยุดการเพิ่ม QE จนถึงถึงสิ้นปีนี้)

นอกจากนี้ บลจ.ทาลิสมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจโลก รวมถึงสหรัฐฯ ในปีนี้ยังมีทิศทางเติบโตที่ดี แต่อาจจะชะลอตัวลงบ้างเล็กน้อยในปีหน้า ส่วนเศรษฐกิจไทย ผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่ยังแข็งแกร่ง และทิศทางการเมืองที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ในขณะที่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงนี้ ทำให้ Valuation ของตลาดหุ้นลดลงมาก จนทำให้ค่า PER ของตลาดอยู่ที่ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน และถึงแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะปรับตัวขึ้นในปลายปีนี้ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังสามารถเติบโตได้ในระดับ 8-10% ต่อปี Valuation ของตลาดหุ้นในปัจจุบันสามารถรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2562 แล้ว

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤษภาคม 2561

ในเดือนพฤษภาคม SET Index ปรับตัวลง 3.0% จากสิ้นเดือนเมษายน 2561 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ การปรับตัวลงของราคาน้ำมัน และการ Rebalance ดัชนี MSCI

โดยภาพรวมตลาดในเดือนพฤษภาคมมีการปรับตัวลงต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน ในช่วงต้นเดือน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากเดือนเมษายน โดยปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 3.10% ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี ตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวอย่างโดดเด่น ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกถูกเทขายอย่างหนัก ส่วนในฝั่งยุโรป เริ่มมีความเสี่ยงทางการเมืองในอิตาลีและสเปนที่เพิ่มขึ้น จากการที่อิตาลีไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้หลังจากที่เลือกตั้งผ่านมา 2-3 เดือนแล้ว และนายกรัฐมนตรีสเปนถูกรัฐสภาลงมติไม่ไว้วางใจ ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยลบทั้งสิ้น กดดันดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง

ปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index ได้แก่ การประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาส 1 ของไทยออกมาสูงกว่าคาดอยู่ที่ 4.8% และเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 20 ไตรมาส เป็นตัวชี้ชัดว่าเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงฟื้นตัวและกำลังเติบโตต่อเนื่อง สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทย อีกทั้งในปลายเดือน การเลือกตั้งของไทยที่มีพัฒนาการในเชิงบวก หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างกฎหมายที่มา สว. และร่างกฎหมายการเลือกตั้ง สส. ว่าไม่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปตาม Road Map ที่รัฐบาลวางไว้ ซึ่งคาดจะเกิดการเลือกตั้งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2562 ปัจจัยเหล่านี้น่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นได้

นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมยังเป็นช่วงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 ปี 2561 โดยผลกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 2.89 แสนล้านบาท เติบโต 15.9% เทียบกับไตรมาส 4 และ 0.6% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2560 โดยกลุ่มที่ผลประกอบการดีกว่าคาดมากที่สุดคือกลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มที่ผลประกอบการต่ำกว่าคาดมากที่สุดคือกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนกลุ่มที่กำไรสุทธิออกมาเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ กลุ่มพลังงานทางเลือก และกลุ่มการแพทย์ และกลุ่มที่กำไรสุทธิลดลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนในกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1 จะออกมาตามที่คาด แต่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงค่อนข้างแรง สาเหตุมาจากการที่กระทรวงการคลังจะออกร่างพ.ร.บ. กำกับดูแลผู้ให้บริการทางการเงิน (ยกเว้นสถาบันการเงิน) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีการควบคุมอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อ ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่าง ๆ หากอัตราดอกเบี้ยใหม่ถูกปรับลดลง สำหรับหุ้น SAWAD นั้น แม้ว่าจะไม่มีความเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับร่างพ.ร.บ. ใหม่นี้ เนื่องจากได้ปรับโครงสร้างองค์กรไปอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้วนั้น แต่ผลประกอบการในไตรมาส 1 กลับออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจัยภายในประเทศจะยังค่อนข้างเป็นบวกต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ปัจจัยภายนอกได้ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ MSCI มีการเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีน และลดน้ำหนักของตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาค และการที่คาดการณ์ว่า OPEC จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมเดือนมิถุนายน ทำให้มีแรงขายหุ้นไทยออกมามาก โดยเฉพาะหุ้น Market Cap ขนาดใหญ่ เช่น PTT, AOT, CPALL และ PTTEP เป็นต้น

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 SET Index ปิดที่ 1,726.97 จุด ปรับตัวลดลง 3.0% จากเดือนก่อนหน้า โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง +13.5% กลุ่มการแพทย์ +10.2% และกลุ่มยานยนต์ +5.4% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -11.0% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -9.8% และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร -7.4% ในเดือนพฤษภาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดมูลค่า 51,859 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 23,167 ล้านบาท

บลจ. ทาลิสคาดว่าหลังจากตลาดหุ้นปรับฐานในเดือนพฤษภาคม ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขาขึ้น เนื่องจากตลาดได้ซึมซับปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศไปค่อนข้างมากแล้ว และพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้ดี และเริ่มมีการกระจายไปยังทุกภาคส่วน ทั้งภาคการบริโภค การส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน แม้ว่าการกระจายรายได้สู่ผู้มีรายได้น้อยยังเป็นปัญหาอยู่ก็ตาม รวมไปถึงโครงการ EEC ของรัฐบาลที่เริ่มเดินหน้าชัดเจนขึ้น ทำให้มีแนวโน้มสูงที่จะมีการปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปีนี้ อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง หนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน และผลักดันตลาดหุ้นให้มีแนวโน้มขึ้นต่อไปได้

สำหรับปัจจัยเสี่ยง ยังคงมีประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด การเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน และการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ

บลจ.ทาลิส เสนอบริการซื้อขายกองทุนผ่านแอป Streaming for Fund

คุณฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 3 จากซ้าย) และคุณอมตี ประภาพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม (ที่ 3 จากขวา) ร่วมเปิดตัวแอปพลิเคชั่นซื้อขายกองทุนรวม

บลจ.ทาลิส ตั้งเป้าเป็น Boutique Asset Management  เชี่ยวชาญการจัดการกองทุนหุ้นไทย

นางโชติกา สวนานนท์ (กลาง) ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด พร้อมด้วยนายฉัตรพี  ตันติเฉลิม (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์  (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ร่วมแถลงข่าวผลงาน 2 ปี ประสบความสำเร็จบริหารพอร์ตสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเป้าหมาย พร้อมตั้งเป้าเป็น Boutique Asset Management ที่เชี่ยวชาญการจัดการกองทุนหุ้นไทย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุนในการวางแผนการลงทุนในระยะยาว

ภาวะตลาดหุ้นไทย – เมษายน 2561

ในเดือนเมษายน SET Index ปรับตัวขึ้น (+0.24% MoM) จากสิ้นเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากปัญหาด้านสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ลดความรุนแรงลง และการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยมีปัจจัยการเมืองในประเทศและผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์เป็นปัจจัยกดดันเล็กน้อย

โดยภาพรวมตลาดในเดือนเมษายนมีความผันผวนสูง ในช่วงต้นเดือนตลาดได้รับแรงกดดันจากความเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างประเทศ เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ ออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้กันอย่างเข้มข้น แต่ในกลางเดือนก็เริ่มผ่อนคลายลงและพร้อมเข้าสู่การเจรจา ทางฝั่งยุโรป ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป ECB มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.0% และคงนโยบาย QE ที่ 3 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2561 ซึ่งไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการยุติ QE ก่อนกำหนดแต่อย่างใด และในช่วงปลายเดือนเมษายน ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลต่อการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าที่คาด ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 3.0% เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี กดดันดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลง

ปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index ได้แก่ การเลือกตั้งของไทย หลังสนช.ยื่นร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งคาดว่าศาลจะใช้เวลาพิจารณาราว 2 เดือน ทำให้นักลงทุนมีความกังวลว่าการเลือกตั้งอาจจะล่าช้าออกไป หุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากการประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และหุ้นกลุ่มโรงกลั่น ได้รับผลกระทบจากกระทรวงพลังงานจะปรับสูตรราคาหน้าโรงกลั่นใหม่ ส่งผลให้ตลาดปรับฐานแรงในช่วงต้นเดือน ประกอบกับการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 ของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ด้วยระดับการกันสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง แต่ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแย่กว่าที่คาด ต่อมาในช่วงปลายเดือน ความคืบหน้าด้านการประมูลแหล่งน้ำมันบงกช และเอราวัณ และราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น เป็นปัจจัยเข้ามาผลักดันราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะ PTTEP การยืดอายุการชำระใบอนุญาตดิจิตอลทีวีของ คสช. ก็ผลักดันราคาหุ้นในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ขึ้นเช่นกัน ทำให้ SET Index สามารถฟื้นตัวและกลับมาปิดที่ระดับเป็นบวกได้ในเดือนเมษายน

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนเมษายน 2561 SET Index ปิดที่ 1,780.11 จุด ปรับตัวขึ้น +0.24% จากเดือนก่อนหน้า โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +5.4% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ +3.3%และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ +2.5% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -5.8% กลุ่มการแพทย์ -4.9% และกลุ่มธนาคาร -3.4% ในเดือนเมษายนนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดมูลค่า 21,450 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 15,552 ล้านบาท

บลจ. ทาลิสคาดว่าตลาดหุ้นจะแกว่งตัวแบบ Sideway ในช่วงสั้น แต่ในครึ่งหลังของปี 2561 ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขึ้น เนื่องจากตลาดซึมซับกับปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศไปค่อนข้างมากแล้ว และพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตได้ดี ทั้งภาคการส่งออกและท่องเที่ยว โดยธนาคารโลกได้ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวถึง 4.1% ระบบการเงินยังมีสภาพคล่องสูง อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ รวมไปถึงโครงการ EEC ของรัฐบาล ปัจจัยเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง หนุนการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน และผลักดันตลาดหุ้นให้มีแนวโน้มขึ้นต่อไปได้

สำหรับปัจจัยเสี่ยง ยังคงมีประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการประกาศกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 และความเสี่ยงด้านการปรับลดประมาณการกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลง

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มีนาคม 2561

ในเดือนมีนาคม SET Index ปรับตัวลง (-2.94% MoM) จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ซึ่งเป็นการปรับตัวลงตามการปรับฐานของดัชนีหุ้นทั่วโลก จากความกังวลต่อการเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และปัจจัยภายในประเทศ

โดยภาพรวมตลาดในเดือนมีนาคมมีการแกว่งตัว Sideway ในช่วงต้นเดือน หลังจากที่ประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ มีมติปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed funds rate) ขึ้น 25 bps ไปอยู่ที่ช่วง 1.50 – 1.75% และคงมุมมองที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้ตลาดหุ้นและตลาดการเงินไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก แต่ในช่วงปลายเดือน ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เพื่อกดดันจีนที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ ขณะที่จีนก็ออกมาตอบโต้ด้วยการจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเนื้อหมู ท่อเหล็ก ผลไม้ และไวน์ จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของสงครามการค้าอย่างแท้จริง ทำให้เกิดความกังวลต่อความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปรับตัวลดลง -5.9% ภายใน 1 สัปดาห์ ส่วนตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากข่าวกีดกันทางการค้านี้ไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากยังไม่มีการระบุตัวสินค้าชัดเจน

ปัจจัยภายในประเทศที่ส่งผลกระทบต่อ SET Index ได้แก่ การประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมธุรกรรมธนาคารทางอินเตอร์เน็ตของหลายธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น ทำให้เกิดความกังวลต่อผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารทหารไทย ที่อาจเกิดผลกระทบเชิงลบมากที่สุด เนื่องจากเดิมเป็นธนาคารเดียวที่ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมจากลูกค้า ทำให้หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลง / การหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เนื่องจากรัฐบาลเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนไฟฟ้า จึงสมควรหยุดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เป็นโครงการใหม่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน / ข่าวเรื่องคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อาจจะพิจารณาปรับสูตรคำนวณราคาค่าการกลั่น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อกำไรของหุ้นกลุ่มโรงกลั่น รวมไปถึงการประกาศจ่ายปันผลของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง ทำให้ SET Index ปรับตัวลดลงตามไปด้วย

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนมีนาคม 2561 SET Index ปิดที่ 1,776.26 จุด ปรับตัวลดลง -2.94% จากเดือนก่อนหน้า โดยหุ้นกลุ่มหลักที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ +3.1% กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ +3.0% และกลุ่มพาณิชย์ +0.8% ในขณะที่หุ้นกลุ่มหลักที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดในช่วงเวลาเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มธนาคาร -7.1% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค -6.2% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -5.4% ในเดือนมีนาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากที่สุดมูลค่า 11,219 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นผู้ซื้อสุทธิ 9,484 ล้านบาท

บลจ. ทาลิสคาดว่าตลาดหุ้นจะยังอยู่ในช่วงปรับฐานในช่วงสั้น แต่ในครึ่งหลังของปี 2561 ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในทิศทางขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะเติบโตดีขึ้น ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่า ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยก็ยังมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น สภาพคล่องในระบบการเงินและอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมไปถึงการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งสิ้น

สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักยังคงอยู่ที่ปัจจัยระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด