ภาวะตลาดหุ้นไทย (26-30 ธันวาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สุดท้ายของปี SET Index มีการปรับตัวขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ โดยสิ้นปี Set Index ปิดที่ 1,542 จุด จาก 1,512 จุด ในสัปดาห์ก่อนหน้า ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง Fund Flow ต่างชาติพลิกกลับมาเป็น Ney Buy ในช่วงปลายสัปดาห์ โดยต่างชาติซื้อสุทธิ 7.1 พันล้านบาท โดยปัยจัยหลักของ SET Index ที่ปรับตัวขึ้นยังคงมาจากเม็ดเงิน LTF/RMF และการทำ Window Dressing ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI สิ้นปีราคาน้ำมันสามารถยืนเหนือ $50 ต่อบาร์เรลได้ โดย ปิดที่ $53.72 ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้น 1.32% WoW

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,542.94 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.98%

ในภาพรวมของทั้งปี 2559 นั้น SET Index ปรับตัวขึ้นถึง 19.79% และเมื่อรวมผลตอบแทนจากเงินปันผล ผลตอบแทนทั้งหมดอยู่ที่ 23.90% ซึ่งทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดในตลาดหุ้นเอเชีย โดยหุ้นกลุ่มหลักที่มีผลต่อดัชนี ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มพาณิชย์ โดยผลตอบแทนอยู่ที่ 17.71%, 38.45% และ 40.98% ตามลำดับ ในส่วนของหุ้นที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ โดยปรับตัวลดลง -3.5% และ -7.93% ตามลำดับ โดยตลอดทั้งปี Fund Flow นักลงทุนต่างชาติ และ Proprietary Trade เป็นผู้ซื้อสุทธิที่ 7.8 หมื่นล้านบาท และ 2.5 หมื่นล้าน ตามลำดับ ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศ และรายย่อย ขายสุทธิ 8.6 พันล้านบาท และ 9.4 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้น 45.03% ในรอบปีที่ผ่านมา โดยปิดที่ $53.72 ต่อบาร์เรล

ในส่วนของมุมมองปี 2560 จากปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ ในปี 2560 โดยรวมแล้วเป็นความเสี่ยงจากต่างประเทศ ในมุมมองระยะสั้นนั้น คงเป็นการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2560 จะเน้นนโยบาย American First ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในระยะสั้น เนื่องจากการลดอัตราภาษี การเพิ่มการจ้างงาน และการทุ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าลงทุนในสหรัฐฯมากขึ้น อันจะทำให้ค่าเงิน US$ แข็งค่าขึ้นได้ และอาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากไทยได้ ส่วนในส่วนของระยะกลาง – ยาวนั้น จากการที่คณะกรรมการ FOMC ส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ของสหรัฐฯ ประมาณ 3 ครั้งในปี 2560 เป็นประเด็นที่ต้องติดตามว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด และจะสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งหากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และการปรับส่วนใหญ่จะไปอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ก็จะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไม่มากนัก แต่หากปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลก ในส่วนของฝั่งยุโรปนั้น จะมีการเลือกตั้งใหญ่ในประเทศฝรั่งเศส (เดือนเมษายน-พฤษภาคม) และในประเทศเยอรมัน (เดือนตุลาคม) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาพรรคการเมืองทางเลือกใหม่ฝ่ายขวาในยุโรป ที่ชูนโยบายแยกประเทศออกจากกลุ่มสหภาพยุโรปกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งหากพรรคการเมืองเหล่านี้ชนะการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมัน จะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของกลุ่มสหภาพยุโรปอย่างมาก ซึ่งผลกระทบจะมีมากกว่าเหตุการณ์ Brexit ทำให้นักลงทุนมีแนวโน้มจะชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและไปลงทุนในภูมิภาคอื่นแทน

ภาวะตลาดหุ้นไทย (19-23 ธันวาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สี่ของเดือนธันวาคม SET Index มีการแกว่งตัวลงจากระดับ 1,524 จุด ลงไปถึงระดับ 1,502 จุด โดยปัยจัยหลักยังคงเป็นแรงขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ที่ตลอดสัปดาห์มีการขายสุทธิ 4.7 พันล้านบาท ทั้งนี้ การที่นักลงทุนต่างชาติยังคงมีการขายอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการขายทำกำไรในช่วงปลายปี การปรับสถานะการลงทุนก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ และความกังวลเกี่ยวกับค่าเงินดอลล่าร์จะแข็งค่าเมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี นอกจากนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมีการชะลอการลงทุนเนื่องจากเทศกาลในช่วงสิ้นปี ทำให้มูลค่าการซื้อขายเริ่มเบาบางลง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกของ SET Index ยังคงมาจากเม็ดเงิน LTF/RMF และการทำ Window Dressing และจากผลการประชุมของ กนง. ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ในส่วนของราคาน้ำมันดิบ WTI ตัวเลข Inventory ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยจากสัปดาห์ที่แล้ว แต่ปริมาณการซื้อขายเริ่มเบาบางลง สิ้นสัปดาห์ปิดที่ $52.95 ต่อบาร์เรล ราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากสัปดาห์ที่แล้ว

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,509.98 จุด ปรับลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา -0.82%

ในส่วนของมุมมองระยะสั้นสำหรับช่วงเวลาสัปดาห์สุดท้ายของปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวช่วงแคบๆ ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนและตลาดหุ้นในหลายประเทศหยุดทำการเนื่องในช่วงคริสต์มาส ส่งผลให้ในสัปดาห์สุดท้ายของปี Fund Flow อาจเห็นการชะลอตัวลง

ภาวะตลาดหุ้นไทย (13-16 ธันวาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคม SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,514-1,531 Sideway Down จากปัจจัยหลักของการประชุม FOMC ที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 0.25-0.50% เป็น 0.50-0.75% และ Primary Credit Rate จาก 1% เป็น 1.25% นอกจากนี้ ในการประชุมนั้น Fed ส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปี 2017 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง จึงส่งผลกระทบต่อกระแส Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิอีกครั้งหนึ่ง โดยขายสุทธิติดต่อกันตลอดทั้งสัปดาห์ยอดรวมทั้งสิ้น 6.4 พันล้านบาท และจากการส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าที่คาดการณ์นั้น ทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ แข็งค่าจนทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 13 ปี ที่ 102.95 จุด เพิ่มขึ้น 1.34% WoW ซึ่งสวนทางกับราคาทองคำที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาทองคำในตลาด COMEX ปิดที่ $1,133.3 ต่อ ทรอยออนซ์ ลดลง 2.17% WoW อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินของกองทุน LTF/RMF ยังคงเป็นตัวหลักที่คอยหนุน SET Index ตามแรงซื้อของกลุ่มสถาบัน และจากที่การประชุม ครม. มีมติออกมาตรการ ”ช็อบช่วยชาติ” สามารถลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้อีก 15,000 บาท ในการใช้จ่ายในช่วงวันที่ 14-31 ธันวาคมนี้ ทำให้มีแรงซื้อหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศเข้ามา และช่วยให้ SET Index ปรับตัวลงไม่มากนัก นอกจากนี้ ตลาดได้ยังได้รับผลดีจากการที่ศาลอนุมัติแผนฟื้นฟูกิจการของ SSI ที่ทำให้สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ให้กับ SSI จะมีภาระในการตั้งสำรองฯน้อยลงในอนาคต และทำให้ NPL ของระบบธนาคารพาณิชย์ลดลง ในส่วนของราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้ปรับตัวลดลงจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่า

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,522.51 จุด ปรับลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา -0.25 %

ในส่วนของมุมมองระยะสั้นสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี คาดว่า SET Index จะสามารถแกว่งตัวยืนเหนือระดับ 1,500 จุดได้ จากปัจจัยหลักมาจากเม็ดเงิน LTF/RMF ในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม กระแส Fund Flow ไหลออกยังคงเป็นแรงกดหลักของ SET Index ในส่วนของปัจจัยที่น่าควรติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ การประชุมนโยบายทางการเงินของ BOJ และ กนง. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม

ภาวะตลาดหุ้นไทย (6-9 ธันวาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สองของเดือนธันวาคม SET Index มีการแกว่งตัวขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ และสามารถยืนเหนือระดับ 1,500 จุดได้ แม้ว่าในช่วงต้นสัปดาห์จะมีประเด็นการลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของอิตาลีที่ทำให้ความเสี่ยงในยุโรปเพิ่มขึ้น จากการที่นายกรัฐมนตรีของอิตาลีลาออก และมีความกังวลเกี่ยวกับการเลือกตั้งใหม่ ที่มีโอกาสที่พรรค Five Star Movement ซึ่งชูนโยบายนำอิตาลีออกจากสหภาพยูโร จะได้รับคะแนนเสียงมากขึ้น รวมถึงความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินของอิตาลี แต่นักลงทุนแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับความเสี่ยงนี้ เพราะคาดว่าโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงยังต้องใช้เวลา แต่ผลการลงประชามติทำให้ความไม่แน่นอนหมดไป ตลาดหุ้นในต่างประเทศจึงปรับตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผล Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยด้วย นอกจากนี้ ในช่วงกลางสัปดาห์ตลาดหุ้นยังได้รับผลดีจากผลการประชุมของ ECB ที่ได้ขยายเวลาการทำ QE ออกไปอีก 9 เดือน (จากสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2560 ไปเป็นสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2560) แต่ในช่วงต่อขยายนั้นได้ลดวงเงินจาก 8 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนเหลือ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ทั้งนี้ ผลของการขยายเวลานั้น ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินยังคงอยู่สูง และมีโอกาสเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้มากขึ้นและนานขึ้น ตลาดทั้งสัปดาห์ นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 4 วันติดต่อกันรวม 2.9 พันล้านบาท ในส่วนของราคาน้ำมัน ปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลังจากมีการชะลอการลงทุน เพื่อรอผลการประชุมระหว่างกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ที่จะมีในช่วงสุดสัปดาห์ ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง -0.3% ปิดที่ $51.5 ต่อบาร์เรล

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,526.32 จุด ปรับขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.64 %

ในส่วนของมุมมองระยะสั้นสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี ตลาดยังมีแนวโน้มแกว่งขึ้นได้ เนื่องจากตลาดหุ้นยังน่าจะได้รับผลบวกจากแรงซื้อของกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปี และการปรับหุ้นเข้าคำนวณ SET50 และ SET100 รอบใหม่ ที่จะประกาศในวันที่ 14-15 ธันวาคมนี้ ในขณะที่ความเสี่ยงของตลาดในช่วงที่เหลือของปี จะอยู่ที่ถ้อยแถลงเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและปรับขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่

ภาวะตลาดหุ้นไทย (28 พฤศจิกายน – 2 ธันวาคม 2559 )

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม SET Index มีการแกว่งตัวขึ้นเกือบตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนที่จะถูกขายทำกำไรในวันสุดท้ายของสัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงวันหยุดยาวและความกังวลเกี่ยวกับการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญของอิตาลี ในวันที่ 4 ธันวาคม 2559 ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและทำให้นายกรัฐมนตรีของอิตาลีต้องลาออก ทั้งนี้ แรงขับเคลื่อนหลักที่ทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้แก่ การ Rebalance Portfolio ของนักลงทุนต่างชาติจากการปรับน้ำหนักการลงทุนใหม่ของดัชนี MSCI ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ที่ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเป็นรายตัวมากขึ้น และการประชุม OPEC ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ที่มีมติลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้กำลังการผลิตเหลือ 32.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นมติข้อตกลงที่ตกลงกันได้ในรอบ 8 ปี และนอกเหนือจากการคาดการณ์ของนักลงทุนที่เชื่อว่าจะไม่สามารถตกลงกันได้ โดยสิ้นสัปดาห์ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดที่ $51.79 ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้น 12.44% WoW สำหรับประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed นั้น Bloomberg Consensus ได้ปรับประมาณการขึ้นเป็น 100% แล้ว ซึ่งคาดว่าประเด็นดังกล่าวตลาดได้รับรู้ข่าวไปพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังเฝ้าติดตามถ้อยแถลงของ Fed ว่าจะให้แนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยอย่างไร จะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นอีกในระยะเวลาอันสั้นอีกหรือไม่ และหากปรับขึ้นจะรวดเร็วเพียงใด

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,501.66 จุด ปรับขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.08 %

ในส่วนของมุมมองระยะสั้นสำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปี ตลาดมีแนวโน้มแกว่งขึ้นได้ เนื่องจากตลาดหุ้นยังน่าจะได้รับผลบวกจากแรงซื้อของกองทุน LTF/RMF ในช่วงปลายปี ในขณะที่ความเสี่ยงของตลาดในช่วงที่เหลือของปี จะอยู่ที่ถ้อยแถลงเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยของ Fed ว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องและปรับขึ้นอย่างรวดเร็วหรือไม่

ภาวะตลาดหุ้นไทย (21-25 พฤศจิกายน 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์สี่ของเดือนพฤศจิกายน SET Index มีการแกว่งตัวขึ้น และสามารถกลับขึ้นมาปิดที่ 1,500 จุดได้ในวันสิ้นสัปดาห์ จากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันภายในประเทศที่มียอดซื้อสุทธิ 5,305 ล้านบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งจะมาจากแรงซื้อของเม็ดเงิน LTF/RMF ในช่วงปลายปี และการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายด้วยการลดภาษี “ช้อปช่วยชาติ” ซึ่งเป็นมาตรการเดียวกันกับที่ใช้ในปีที่แล้ว แม้ว่าสภาพัฒน์ฯ จะรายงาน GDP Growth ในไตรมาส 3 ที่ 3.2% ซึ่งต่ำกว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดเล็กน้อย เนื่องจากผลกระทบของการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญของภาครัฐที่กระทบต่อภาคการท่องเที่ยวก็ตาม นอกจากนี้ SET Index ยังได้รับผลดีจากการที่ Fund flow ของนักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีความเบาบางลง โดยมียอดขายสุทธิในระดับประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อวัน จากที่เคยสูงถึง 2,000-3,000 ล้านบาทต่อวัน ในส่วนของราคาน้ำมัน WTI ยังคงความผันผวน จากข่าวการเจรจาเรื่องกำลังการผลิตของแต่ละประเทศในกลุ่ม OPEC ก่อนการประชุมในวันที่ 30 พฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม ตลอดสัปดาห์ราคาน้ำมัน WTI ยังปรับขึ้น 0.81% WoW ปิดที่ $46.06 ต่อบาร์เรล

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,500.41 จุด ปรับเพิ่มจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 1.80%

ในส่วนของมุมมองระยะสั้น ตลาดหุ้นมีแนวโน้มจะยังคงผันผวน จากเรื่องการประชุม OPEC ที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 พฤศจิกายน การลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญของอิตาลีในวันที่ 4 ธันวาคม และการประชุม FOMC ในวันที่ 13-14 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม ตลาดยังได้รับแรงสนับสนุนจากแรงซื้อของกองทุน LTF/RMF ซึ่งจะทำให้ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงรุนแรงไม่มากนัก

ภาวะตลาดหุ้นไทย (14-18 พฤศจิกายน 2559)

ในสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน SET Index ได้ขยับตัวในกรอบ 1,463 – 1,486 จุด ปัจจัยหลักที่ทำให้ SET Index ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องยังเป็นเงินทุนต่างชาติที่ยังคงไหลออกจากประเทศ ณ วันสิ้นสุดสัปดาห์สถาบันต่างชาติได้ขายสุทธิรวมถึง 10,470 ล้านบาท ทำให้ยอดการขายสุทธิตั้งแต่เดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านบาท อีกปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทยคือการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมนี้ เห็นได้จากผลสำรวจมุมมองนักลงทุนถึงโอกาสการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ของ Bloomberg ที่สูงถึงร้อยละ 96 การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 30 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นไปแตะที่ระดับร้อยละ 3.0 ได้ ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ WTI ที่สิ้นสัปดาห์ปิดที่ 46.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 จากสัปดาห์ก่อนหน้า บวกกับแรงซื้อของหุ้นที่ได้เข้าคำนวณในดัชนี MSCI ในรอบใหม่

ณ สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดตัวที่ 1,473.86 จุด ปรับลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าร้อยละ 1.38 ในระยะสั้นคาดว่าตลาดหุ้นจะมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ นาย Donald Trump ซึ่งเป็นความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่งต่อตลาดทุนที่ต้องคอยจับตามอง

ภาวะตลาดหุ้นไทย (7-11 พฤศจิกายน 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน SET Index ผันผวนในกรอบ 1,486- 1,522 จุด โดยในช่วงต้นสัปดาห์ SET Index สามารถกลับมายืนเหนือ 1,500 จุดได้อีกครั้ง เมื่อปรากฏข่าวว่า FBI ได้หยุดการพิจารณาในประเด็นการใช้ E-mail ส่วนตัวของนางฮิลลารี่ คลินตัน ทำให้มีการคาดการณ์ว่านางคลินตันจะได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนกลับมา และจะทำให้นางคลินตันได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ออกมา ปรากฏว่าเป็นนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ซึ่งผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ประกอบกับการที่พรรครีพับบลิกันได้รับชัยชนะครองเสียงข้างมากในการเลือกตั้งทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ทำให้ในช่วงแรกมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดหุ้น จากการคาดการณ์ว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้ราบรื่นขึ้น เนื่องจากครองเสียงข้างมากทั้งในด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ได้เกิดแรงเทขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่านโยบายทางเศรษฐกิจของนายทรัมป์ ที่จะเร่งการลงทุนภาครัฐ จะทำให้สหรัฐฯขาดดุลงบประมาณมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯจะปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯจะแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่านายทรัมป์อาจจะออกมาตรการกีดกันทางการค้ามากขึ้นด้วย ทำให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเพิ่มขึ้นอีก 9,273 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีตามที่นักวิเคราะห์คาดก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังถูกกดดันจากการที่ราคาน้ำมันดิบยังคงลงต่อเนื่อง โดยสิ้นสัปดาห์ปิดที่ $43.41 ต่อบาร์เรล จากการที่กลุ่ม OPEC มีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้มีความกังวลว่าการประชุมเพื่อควบคุมกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้จะล้มเหลว

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,494.53 จุด ปรับเพิ่มจากสัปดาห์ที่ผ่านมา 0.59%

ในส่วนของมุมมองระยะสั้น ตลาดยังคงมีความผันผวน เนื่องจากยังมีแนวโน้มที่ Flow ต่างชาติยังคงไหลออกจากไทยและภูมิภาคอีกระยะหนึ่ง ตลาดยังคงให้ความสนใจเกี่ยวกับนโยบายของนายทรัมป์ ช่วงก่อนรับตำแหน่งประธานาธิปดี ในวันที่ 20 มกราคม 2560 ที่ประกาศจะดำเนินนโยบายเร่งด่วนในช่วง 100 วันแรกหลังจากการเข้ารับตำแหน่ง

ภาวะตลาดหุ้นไทย (31 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน SET Index แกว่งตัวช่วงแคบในกรอบ 1,478- 1507 จุด โดย SET Index อ่อนตัวลงในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ทำให้ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,500 จุดได้ ทั้งนี้ ในช่วงกลางสัปดาห์เป็นต้นมา นักลงทุนได้มีการขายหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มสื่อสาร จากปัจจัยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิปดีสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พ.ย. ที่เดิมนักลงทุนคาดหวังว่านางฮิลลารี คลินตัน จะชนะการเลือกตั้ง แต่การที่ FBI รื้อคดี E-mail ของนางฮิลลารี ทำให้นางฮิลลารีเสียคะแนนเสียงไปมาก และคะแนนเสียงของนายโดนัลด์ ทรัมป์ตีตื้นขึ้นจนใกล้เคียงกันมาก นอกจากนี้ ความกังวลจากภาวะน้ำมันล้นตลาดเนื่องจากกลุ่ม OPEC ยังไม่สามารถตกลงเรื่องการควบคุมกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ได้ ทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงติดต่อกัน 5 วัน หรือลดลง 6.2% WoW และเป็นปัจจัยกดดันกลุ่มพลังงานที่เกี่ยวกับราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม การที่ราคาถ่านหินได้ทำราคาสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยสิ้นสับดาห์ปิดที่ 108.25$/ตัน และการประชุมของ BoE, BoJ และ FOMC ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม (0.25%, -0.1% และ 0.25-0.5% ตามลำดับ) ก็เป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดได้ระดับหนึ่ง ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีการปรับตัวขึ้นค่อนข้างโดดเด่น โดยปรับตัวขึ้น 4.42% เนื่องจากเป็นช่วงการเปิดประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีชมพู และสีเหลือง รวมมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านบาท

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,485.70 จุด ปรับลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา -0.58 %

ในส่วนของมุมมองระยะสั้น ตลาดมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นสูงได้ เนื่องจากนางฮิลลารีมีโอกาสได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯมากขึ้น เนื่องจากผลสรุปจาก FBI ไม่พบสิ่งผิดปกติใน E-Mail ของนางฮิลลารี และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาสที่ 3 ที่กำลังจะประกาศออกมา ยังคาดว่าส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ตลาดทั่วโลกให้ความสนใจ

ภาวะตลาดหุ้นไทย (25-28 ตุลาคม 2559)

ตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่สี่ของเดือนตุลาคม SET Index มีการแกว่งตัวช่วงแคบในกรอบ 1,488- 1,508 จุด โดย SET Index ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,500 จุดได้อย่างมั่นคง นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการขายต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 มียอดขายสุทธิรวมในเดือนตุลาคม (1-28 ตุลาคม) ถึง 1.56 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการคาดการณ์ว่า Fed น่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ในการประชุมเดือนธันวาคม และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ มีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นได้ ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายเงินลงทุนในตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และกลับไปถือครองเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังได้รับผลดีจากการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียน ที่ส่วนใหญ่ยังออกมาดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงไม่มากนัก

สิ้นสัปดาห์ SET Index ปิดที่ 1,494.44 จุด ปรับลดลงจากสัปดาห์ที่ผ่านมา -0.40%

ในส่วนของมุมมองระยะสั้น ยังคงต้องติดตามการประชุมของ Fed, BOE, BOJ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 1-3 พฤศจิกายน และการประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ทั้งนี้ ตลาดมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากข่าวที่ FBI เตรียมรื้อคดีการใช้ E-mail ส่วนตัวของนาง Hillary Clinton ที่ทำให้ความนิยมของนาง Clinton ลดลงในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งวันที่ 8 พฤศจิกายน