SET Index ในเดือนเมษายน 2567 ปิดที่ระดับ 1,367.95 จุด ลดลง 0.72% จากเดือนก่อนหน้า ในช่วงต้นเดือนดัชนีมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ โดยยังขาดปัจจัยสนับสนุน โดยได้กลุ่มพลังงานช่วยพยุงที่ได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยกระแสเงินไหลออกจากหุ้นขนาดกลาง-เล็กสลับเข้าหุ้นปลอดภัยก่อนหยุดยาว ทั้งนี้ ก่อนวันหยุดยาว SET Index มีการปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1,400 จุด นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 โดยได้รับปัจจัยบวกระยะสั้นมาจากแรง Cover Short Position หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยข้อมูลการขายชอร์ตที่ยังไม่ได้ซื้อคืน (Outstanding Short Positions) ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งการกระตุ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ทำให้กลุ่มอสังหาฯปรับตัวขึ้น และกระแสเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลกลับเข้ามาในเดือนนี้ อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นของดัชนีก็ต้องมาสะดุดลงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง อิหร่าน-อิสราเอลที่เกิดขึ้นช่วงกลางเดือน ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาตามภูมิภาค มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนเมษายน อยู่ที่ 42,531 ล้านบาท (+3.38% MoM)
การประชุม กนง. ในเดือนเมษายน มองเศรษฐกิจไทยในเชิงบวก และมองมี Upside ต่อ GDP (จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ Digital Wallet) และมิได้ปิดกั้นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ผสานกับนักลงทุนเริ่มรอรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2567 จำนวนบริษัทที่รายงานกำไรแล้วอยู่ที่ 25 แห่ง หุ้นที่กำไรดีกว่าคาด อาทิ SCGP, BH ฯลฯ ทำให้นักลงทุนคาดการณ์บริษัทอื่น ๆ ที่เหลือจะทยอยประกาศผลการดำเนินงานที่ดีออกมา ผสานมีปัจจัยบวก คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯแถลงมาตรการช่วยลดความผันผวนราคาหลักทรัพย์ (โดยเฉพาะที่เกิดจากการ Short Sales) ขณะที่งบประมาณปี 2567 ได้มีการประกาศลงพระราชกิจจาฯ วันที่ 27 เมษายน เพิ่มความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยระยะถัดไป ทำให้ SET Indexค่อย ๆ ฟื้นตัวช่วงปลายเดือนเมษายน
นักลงทุนต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง ที่ 3.9 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 4.13 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกระแส Fund Flow เดือนนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกราว 5.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อสุทธิเพียงตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไทย ราว 1.7 และ 0.08 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม +5.2% กลุ่มการแพทย์ +2.6% และกลุ่มพาณิชย์ +1.1% ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -5.6% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -4.5% และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -3.9% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต่อไปของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออก มาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ และการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯและไทย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อย่างมั่นคง