ภาวะตลาดหุ้นไทย – กุมภาพันธ์ 2567

SET Index ในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ปิดที่ระดับ 1,370.67 จุด เพิ่มขึ้น 0.45% จากเดือนก่อนหน้า ในช่วงต้นเดือนดัชนีมีการฟื้นตัว หลังจากปรับตัวลงต่อเนื่องในเดือนก่อนหน้า โดยทำจุดต่ำสุดวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ที่ระดับ 1,357 จุด ก่อนจะฟื้นตัวในสัปดาห์แรกหลังจากนั้นก็แกว่งตัวในลักษณะ Sideway จนถึงสิ้นเดือน โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวในช่วง 1,357-1,405 หรือ 48 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ อยู่ที่ 44,922 ล้านบาท (-0.81% MoM)
ตลาดหุ้นไทยในเดือนกุมภาพันธ์ มีปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยกดดันเข้ามาตลอดทั้งเดือน ทำให้ดัชนี SET ปรับตัวอยู่ในกรอบ โดยเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันครั้งที่ 4 และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ขณะที่เฟดก็ส่งสัญญาณว่ายังไม่มีแผนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งภายหลัง สหรัฐฯได้มีการรายงานอัตราเงินเฟ้อเดือนมกราคมออกมาสูงกว่าที่คาด ทําให้นักลงลงทุนคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อยจนถึงเดือนมิถุนายน กดดันบรรยากาศการลงทุนในภาพรวม อีกทั้งในประเทศ มีแรงกดดันจากตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ปี 2566 เติบโต 1.7% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.6% และปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.9% แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับตลาด เนื่องจากตัวเลขใกล้เคียงกับคาดการณ์ของกระทรวงการคลังที่ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งนักลงทุนรับรู้ไปพอสมควรแล้ว ด้านนโยบายทางการเงินของไทยที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงกลับไม่ได้ส่งผลบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น นักเศรษฐศาสตร์ไทยและต่างประเทศเริ่มทยอยปรับมุมมองต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทย มาเป็นคาดว่าจะลดดอกเบี้ยลง 1-3 ครั้ง หรือ 0.25-0.75% หลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ผลการประชุมมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย โดยมีกรรมการ 2 เสียงเห็นว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ส่งผลกดดันทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าและกดดันให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง
ด้านปัจจัยบวกในเดือนกุมภาพันธ์ นักลงทุนเริ่มเห็นโมเมนตัมเศรษฐกิจไทยเริ่มดูดีขึ้น โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับความคาดหวังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะแถลงมาตรการการคุม “Short Selling และ Program Trading” ภาคเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง จากภาคการค้า ยอดส่งออกเดือน มกราคม +10.0% YoY ดีกว่าคาด +7.9% YoY และเร่งขึ้นจากเดือนก่อนที่ระดับ 4.7% YoY อีกทั้งกระแสผ่อนคลายนโยบายการเงินของจีน สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้น China-linked รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการจีนได้เร่งการประกาศมาตรการด้านการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการประกาศลดเงินสำรองภาคธนาคาร การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงอายุ 5 ปี รวมทั้งการออกมาตรการลดแรงขายในตลาดหุ้นจีน เช่น การควบคุมการขาย Short รวมทั้งการห้ามนักลงทุนบางกลุ่มทำการยืมหุ้นเพื่อทำธุรกิจ SBL อีกด้วย ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ผนวกกับการที่มูลค่าหุ้น (valuation) ของตลาดหุ้นจีนปรับลดลงมามากแล้ว ได้กระตุ้นให้มีแรงซื้อกลับเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกง และเป็นจิตวิทยาเชิงบวกให้กับภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียและตลาดหุ้นไทยด้วย
นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 12 เดือน ที่ 2.86 พันล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 3.09 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพรวมกระแส Fund Flow เดือนนี้ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกสูงถึง 10.6 พันล้านเหรียญ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มพาณิชย์ +8.2% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ +6.0% และกลุ่มธุรกิจการเกษตร +5.4% ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -10.2% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -3.0% และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร -2.7% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน
สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต้นของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในปี 2567 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯและไทย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้อย่างมั่นคง

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มกราคม 2567

SET Index ในเดือนมกราคม 2567 ปิดที่ระดับ 1,364.52 จุด ลดลง 3.63% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยกดดันจากความคาดหวังที่เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลดลง โดยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ แข็งค่าขึ้น ประกอบกับปัจจัยภายในประเทศจากตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 จากประมาณการของกระทรวงการคลังที่มีแนวโน้มจะออกมาต่ำกว่าเป้าเดิม โดยมองว่า GDP ประเทศไทยปี 2566 จะเติบโต 1.8% ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.7% อีกทั้งมาตรการดิจิตัลวอลเล็ตอาจล่าช้าออกไปจากกำหนดการเดิม ทำให้มีกระแสกดดันให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้คาดว่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในเดือนมกราคม โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,352 -1,438 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมกราคม อยู่ที่ 45,289 ล้านบาท (+18.88% MoM)

January Effect สำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้เกิดขึ้นไม่กี่วัน โดยตลอดทั้งเดือนมีการปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารที่ได้แรงกดดันจากความกังวลดอกเบี้ยไทยเริ่มมี Downside ในการปรับลง และการทยอยปรับลด Target Price ลงจากโบรกเกอร์ต่างประเทศ รวมถึงผลกระทบจากกระแสความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่กลับเข้ามาในตลาด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติยังมีการขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่มีกระแสเงินไหลออก สะท้อนถึงปัจจัยกดดันเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทย อาทิเช่น ตัวเลขเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฯ ที่อาจจะออกมาน่าผิดหวัง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่อแววล่าช้า รวมถึงขนาดของวงเงินที่ใช้มีความเสี่ยงที่จะปรับลดลง ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมีน้อยลง หลังรัฐบาลและ ธปท. มีมุมมองที่ต่างกันต่อเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลแสดงความกังวลต่อเงินฝืดรวมทั้งระดับอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป แต่ฝั่ง ธปท. แถลงว่าเศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่เกิดเงินฝืด และดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะเป็นแรงบวกให้กับตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มสดใสมากขึ้น หลังมาตรการฟรีวีซ่าถาวร ไทย-จีน ที่จะเริ่ม 1 มีนาคม 2567 และทางการจีนได้ประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นภายในประเทศ รวมทั้งการปรับลดสัดส่วนเงินสำรองภาคธนาคาร (Reserve Requirement Ratio) ลง คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นที่เชื่อมโยง สามารถฟื้นตัวในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 12 ที่ 30,874 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 204 ล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มธุรกิจการเกษตร 5.7% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 2.4% และกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 2.0% ในขณะที่กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (-11.3%) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (-10.1%) และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (-8.1%) ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต้นของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เรายังคงติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 4/2566 ที่อาจไม่เป็นไปตามที่คาดหวังและมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดลง ส่งผลให้ EPS Growth 2567 ของตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยลง รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะไม่ได้ทยอยปรับลดลงเร็วตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาด ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม

ภาวะตลาดหุ้นไทย – ธันวาคม 2566

SET Index ในเดือนธันวาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1429.62 จุด เพิ่มขึ้น 0.97% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยสนับสนุนจากมุมมองเฟดในเรื่องนโยบายดอกเบี้ยสหรัฐฯที่ผ่อนคลายมากขึ้น เม็ดเงินใหม่จากกองทุน THAIESG อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศยังกดดันดัชนีในช่วงต้นเดือนจากความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนต่อมาตรการภาครัฐ รวมทั้งเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและมีความเสี่ยงที่ปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า และตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของปี 2566 และ 2567 ที่ลดลง โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไว้อยู่ในกรอบ 1358 -1416 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนธันวาคม อยู่ที่ 38,095 ล้านบาท (-14.44% MoM)

ตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นเดือนมีการปรับตัวลงจากแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ ราคาหุ้นธุรกิจนํ้ามันและโรงกลั่นปรับลดลงมากกดดันดัชนีหลังราคานํ้ามันดิบ WTI ร่วงหลุดลงมาตํ่ากว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับตํ่าสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐกดดัน เช่น การปรับขึ้นค่าเอฟที (Ft) ที่ยังไม่มีความชัดเจน และราคาหุ้นธุรกิจเช่าซื้อและบัตรเครดิตที่ปรับตัวลงภายหลังนายกรัฐมนตรีแถลงจัดการหนี้ทั้งระบบ โดยจะออกมาตรการแก้ไขอย่างเหมาะสมแก่ลูกหนี้แต่ละประเภท ทำให้ตลาดคาดการณ์ผลกระทบได้ยาก โดยดัชนีลงไปทำจุดต่ำสุด 1354.73 จุด ทำระดับต่ำสุดใหม่ในรอบ 3 ปี

ดัชนีฟื้นตัวได้ดีขึ้นภายหลังการทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% ตามคาด พร้อมกับมุมมองในเรื่องนโยบายดอกเบี้ยในเชิงที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2567 มากกว่า 3 ครั้ง และในปี 2568 จะปรับลดลงอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้ง เมื่อประกอบกับท่าทีของเจ้าหน้าที่ ธนาคารกลางยุโรปที่ไม่ได้ดูผ่อนคลายเท่ากับทางเฟด ส่งผลให้สกุลเงินดอลล่าร์ฯ อ่อนค่าลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินดอลล่าร์ฯ (Trade-weighted US Dollar Index) ที่อ่อนค่าแรง ได้สนับสนุนให้ฟันด์โฟลว์ ต่างชาติกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง ประกอบกับเริ่มมีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของกองทุน THAIESG ที่มีลักษณะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้น ESG หรือหุ้นยั่งยืน คือ คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นหลัก ทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวขึ้นมายืนเหนือระดับ 1400 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 11 ที่ 203 ล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.94 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 13.0% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 4.7% และกลุ่มธุรกิจการเกษตร 4.7% ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -2.4% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -1.7% และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -1.64% ที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงต้นของปี 2567 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลง ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤศจิกายน 2566

SET Index ในเดือนพฤศจิกายน 2566 ปิดที่ระดับ 1,380.18 จุด ลดลง 0.12% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯที่คาดว่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เม็ดเงินใหม่จากกองทุน TESG และมาตรการ E-Refund ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายในประเทศทั้งเรื่อง Short Sell จำนวนนักท่องเที่ยวที่อาจจะฟื้นตัวต่ำกว่าคาดการณ์ จากการยกเลิกเที่ยวบินเข้าไทย ความเสี่ยงภาครัฐเข้าแทรกแซงค่าไฟ และตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจของปี 2566 และ 2567 ที่ลดลง โดยตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,375 -1,430 จุด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 44,524 ล้านบาท (-2.32% MoM)

ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วงต้นเดือน หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน โดย นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจยุตินโยบายการเงินที่เข้มงวดนี้หลังจากที่คณะกรรมการเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นตลาดหุ้นไทยเริ่มแกว่งตัวออกข้าง โดยมีปัจจัยกดดันจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 3 ที่ออกมาผสมผสานกัน นำโดยกลุ่มค้าปลีกที่ปรับลงแรงหลังผลประกอบการออกมาต่ำกว่าที่คาด โดยหลังจากนั้นสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ร่วมแถลงถึงสภาวะการลงทุนหลังดัชนี SET Index ปรับตัวลงหลุด 1,400 จุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลทุน โดยทั้ง ก.ล.ต. และ ตลท. ได้ให้ข้อมูลว่าการทำ Short Sell ยังอยู่ในระดับปกติ จึงไม่ได้เป็นต้นเหตุหลักที่ทำให้ตลาดปรับตัวลงแรง

ในช่วงครึ่งเดือนหลัง ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการฟื้นตัวได้เล็กน้อยในช่วงต้น หลังกระทรวงการคลังหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนใหม่ TESG ซึ่งจะเป็นการเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้ามาลงทุนในตลาด โดยลักษณะจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้น ESG หรือหุ้นยั่งยืน คือคำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเป็นหลัก สภาวะตลาดยังปรับตัวลงต่อหลังเงื่อนไขวงเงินลงทุนไม่เกิน 100,000 บาท/ราย น้อยกว่าที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 200,000-300,000 บาท/ราย และต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 ปี อีกทั้งยังโดนกดดันจากแรงเทขายของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT ที่กังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากสายการบินจีนยกเลิกเที่ยวบินเข้าประเทศไทย อีกทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ปรับตัวลงหลังภาครัฐอาจเข้าแทรกแซงค่าไฟฟ้า อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทยทั้งปี 2566 และ 2567 กดดันบรรยากาศการลงทุน

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิเป็นเดือนที่ 10 ที่ 1.94 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.57 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 8.4% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 6.4% และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม 5.0% ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -9.6% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -7.1% และกลุ่มการแพทย์ -4.9% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลงในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2566 ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม

ภาวะตลาดหุ้นไทย – ตุลาคม 2566

SET Index ในเดือนตุลาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,381.83 จุด ลดลง 6.09% จากเดือนก่อนหน้า มีปัจจัยกดดันมาจากผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯที่ปรับตัวขึ้นและดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น กดดันบรรยากาศการลงทุน ผนวกกับแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น หลังจากอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเข้าสู่ภาวะสงคราม ส่วนด้านปัจจัยภายในประเทศนั้นก็อยู่ในภาวะซบเซา โดยทิศทางการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวดูอ่อนแอกว่าที่คาด จากเหตุกราดยิงที่ห้างฯสยามพารากอนกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และความไม่ชัดเจนของแนวทางมาตรการดิจิตอลวอลเล็ต มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 45,582 ล้านบาท (-4.84% MoM)

ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยกดดันเพิ่มมากขึ้น และยังไม่มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนมาหักล้าง เป็นเหตุให้หุ้นหลายตัวปรับตัวลง ซึ่งนักลงทุนยังคงกังวลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นแรงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในหุ้นกับผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลที่แคบลง โดยเฉพาะเมื่อนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวในการประชุมที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์กว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังแข็งแกร่งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมายเงินเฟ้อระยาวที่ 2% ซึ่งหากเป็นแบบนั้นจริง บริษัทต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและยาวนานขึ้นไปอีก ส่งผลต่อภาวะการลงทุน การจ้างงาน กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งทำให้ความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อที่อาจจะได้รับผลกระทบหากสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอลยืดเยื้อ นอกจากนี้ บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังเหตุการณ์ที่ห้างฯสยามพารากอนกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ การฉีดยากระตุ้นเศรษฐกิจของไทยผ่านมาตรการดิจิตอลวอลเล็ตของรัฐบาลที่อาจจะเห็นผลดีในระยะสั้น แต่อาจจะทำให้มีผลข้างเคียงในระยะยาว ทำให้นโยบายการคลังของประเทศไทยเป็นสิ่งที่ยังต้องจับตามอง โดยมีข่าวลบทยอยออกมาทั้งเดือน ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาตัดคนรวยหรือผู้มีรายได้เกินเกณฑ์ เพื่อลดงบประมาณของโครงการ และเลื่อนกำหนดเวลาออกมาตรการเป็นช่วงเมษายน-พฤษภาคม ปี 2567 จากเดิมช่วงเดือนมกราคม รวมถึงความเสี่ยงที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฯ ในไตรมาสที่ 3/2566 จะออกมาต่ำกว่าที่คาด

ในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 9 ที่ 1.57 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 2.20 หมื่นล้านบาท โดยไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ในขณะที่กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -11.7% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -11.3% และกลุ่มยานยนต์ -11.1% ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป ทั้งนี้ เรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามว่าผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ และของไทยที่อาจจะทยอยปรับลดลงในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี 2566 ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะลดแรงกดดันต่อต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจ รวมทั้งลดแรงกดดันต่อ Valuations ของสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม

ภาวะตลาดหุ้นไทย – กันยายน 2566

SET Index ในเดือนกันยายน 2566 ปิดที่ระดับ 1,471.43 จุด ลดลง 6.04% จากเดือนก่อนหน้า จากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ผลกระทบนโยบายภาครัฐ และ Bond Yield ที่ปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกันยายน อยู่ที่ 47,907 ล้านบาท (-15.73% MoM)

ตลาดกังวลนโยบายเศรษฐกิจซึ่งจะกระทบต่อบางอุตสาหกรรม เช่น นโยบายลดค่าไฟฟ้า การตรึงราคาขายปลีกน้ำมัน และราคาน้ำมัน WTI ที่ปรับตัวขึ้นตามแนวโน้มอุปทานตึงตัวจากการลดกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วันของซาอุฯ โดยในช่วงต้นเดือน กกพ. มีมติปรับลดค่าไฟ Ft งวดเดือนกันยายน - ธันวาคม 2566 จากมติเดิม 4.45 บาท/kWh เหลือ 4.10 บาท/kWh เป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นโรงไฟฟ้า ต่อมารัฐบาลได้ประกาศลดค่าไฟ Ft ลงอีกจาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้ามีแรงขายต่อเนื่อง ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 20% ของมูลค่าตลาดรวมของ SET Index จึงมีอิทธิพลต่อการปรับลดลงของภาพรวมตลาดหุ้นไทย อีกทั้งผลกระทบจากการดำเนินการนโยบาย Digital Wallet ในเรื่องการจัดหาเงินทุน ที่ยังไม่มีความชัดเจนจะมาจากทางใด ประกอบกับประเด็นความกังวลเกี่ยวกับการปรับลด Credit Rating ของไทย หลังจากสถาบัน Moody’s ออกมาเตือน เป็นปัจจัยที่กระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในเดือนที่ผ่านมา

ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และไทย 10 ปีปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี และ 11 เดือน ตามลำดับ ในขณะที่ผลตอบแทน (Bond Yield) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.6% และ 3.23% ตามลำดับ ทั้งนี้ กนง. ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 2.50% ในการประชุมครั้งล่าสุดช่วงปลายเดือนกันยายน ส่งผลให้ความน่าสนใจตลาดหุ้นโดยรวมลดลงโดย Forward Earning Yield Gap ของ SET ปรับตัวลดลงเหลือ 2.92% ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน ซึ่งผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระดับสูงจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยและโลกในช่วงนี้

สำหรับปัจจัยสนับสนุน คือ นโยบายฟรีวีซ่าจีน-คาซัคสถาน มีผลตั้งแต่ 25 กันยายน 2566 - 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยททท. คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนทั้งปี 2566 ได้ 4-4.4 ล้านคน เป็นปัจจัยบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวในระยะกลาง

ในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนที่ 8 ที่ 2.20 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าที่ขายสุทธิ 1.54 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต +5.0% ในขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -21.4% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -13.9% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -12.1% ให้ผลตอบติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเราคาดว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการฟรีวีซ่า ที่จะช่วยลดความยุ่งยากให้แก่นักท่องเที่ยวจีน จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ หากมาตรการแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาทมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนันสนุนสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้

ภาวะตลาดหุ้นไทย – สิงหาคม 2566

SET Index ในเดือนสิงหาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,565.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.63% จากเดือนก่อน โดยปัจจัยภายนอกกดดันในช่วงต้นเดือน แต่ปัจจัยภายในเรื่องการเมืองได้มาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงครึ่งเดือนหลัง

สำหรับปัจจัยกดดันจากภายนอก ได้แก่ การที่ Fitch Ratings ปรับลด Credit Rating สหรัฐฯลง 1 notch ไปอยู่ที่ AA+ สร้างความกังวลว่าจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ถูกประกาศออกมาก็อ่อนแอกว่าคาด และประเทศจีนยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจาก Country Garden ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของจีน ได้ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนมองว่าประชาชนชาวจีนจะยังหลีกเลี่ยงการจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงการออกมาท่องเที่ยว เนื่องจากมีความกังวลในความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

สำหรับปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ คือ ประเด็นการเมืองที่มีความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับคะแนนเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เกินกึ่งหนึ่งจากการประชุมสภาฯ ประกอบกับความชัดเจนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากสภาวะสุญญากาศทางการเมือง และเริ่มคาดหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิเช่น การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทผ่าน Digital Wallet และมาตรการ Free Visa สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น

สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +10.9% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง +9.2% และกลุ่มยานยนต์ +6.6% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -8.6% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -6.4% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -2.3% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนสิงหาคมนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1.5 หมื่นล้าน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.2 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.4 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.9 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเรามีความหวังว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการ Free Visa ที่จะช่วยลดความยุ่งยากให้แก่นักท่องเที่ยวจีนจะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังคงติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ หากเมื่อมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้

ภาวะตลาดหุ้นไทย – กรกฎาคม 2566

SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,556.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อน โดยดัชนีได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากมีการปรับตัวลงแรงในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ของ SET Index อยู่ที่ -6.7%

สำหรับปัจจัยหลักภายนอก ได้แก่ การกลับมาเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งจากการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันและรัสเซียประกาศลดการส่งออกน้ำมันในช่วงต้นเดือน การที่นักลงทุนคาดหวังว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นหลังทางการจีนประกาศเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการคาดหวังว่า FED จะหยุดวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้ผลักดันให้ราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมันปรับขึ้นตามด้วย ส่วนราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้แรงหนุนจากส่วนต่างค่าการกลั่นในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คือ การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประกาศส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้แม้ว่าจะยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ความกังวลต่อนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ไม่เอื้อต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯก็เบาบางลง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันจากนโยบายพรรคก้าวไกลมากที่สุด

สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 21.2% จากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น DELTA ซึ่งรายงานกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้มาก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง 7.5% และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 5.2% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -4.2% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -3.3% และกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -3.3% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1.3 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.4 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.3 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.6 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเราได้เห็นสัญญาณบวกจากการที่การส่งออกพลิกกลับเติบโตในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นกับการท่องเที่ยวที่แม้ว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี แต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนยังช้าตามเศรษฐกิจประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอัตราใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ทำให้เมื่อสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนลดลง รายได้จากการท่องเที่ยวอาจจะต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมาแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวก็ตาม

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มิถุนายน 2566

SET Index ปิดที่ระดับ 1,503.10 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.98% โดยดัชนีขยับขึ้นมาในช่วงครึ่งเดือนแรก ก่อนจะปรับตัวลงมาแรงในช่วงครึ่งหลังของเดือน โดยมีปัจจัยกดดันทั้งจากภายนอกและภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ของ SET Index อยู่ที่ -9.92% ให้ผลตอบแทนรั้งท้ายในตลาดภูมิภาคเอเชีย

สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกปัจจัยแรก ได้แก่ การที่ FED ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจทั้งการบริโภค ตลาดแรงงาน และราคาบ้าน ในเดือนล่าสุดยังออกมาแข็งแกร่งปัจจัยกดดันถัดมาคือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนผ่านรายงานยอดส่งออกจีนเดือนพฤษภาคม ที่ปรับตัวลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของผู้เรียนจบใหม่ก็ยังสูง ทำให้มีการทยอยปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GPD ประเทศจีนลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากข่าวรัฐบาลจีนกำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาพยุงตลาดไว้

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยกดดันหลักนั้นหนีไม่พ้นเรื่องความไม่ชัดเจนทางการเมือง หลังมีข่าวว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่สามารถตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกันได้ และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่นายพิธาจะขึ้นเป็นนายกฯ เนื่องจากอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาไม่เพียงพอ นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยลบจากหลายบริษัทในตลาด ได้แก่ (1) DELTA ที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงหลังจากถูกมาตรการกำกับซื้อขาย (2) TRUE และ DIF ที่นักลงทุนกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและ TRUE อาจยกเลิกการใช้เสาของ DIF (3) JMART และ JMT ที่ถูกเทขายเนื่องจากถูกถอดออกจากดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลัง (4) EA, NEX และ BYD ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงหลังมีข่าวรถบัสไฟฟ้าไฟไหม้ และท้ายที่สุด (5) STARK ที่มีข่าวการทุจริตและพยายามตกแต่งบัญชี ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อบริษัทในตลาดโดยรวม

สรุปในเดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 4.2% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 2.1% และกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 1.5% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ -10.0% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -9.9% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -9.7% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 9.1 พันล้าน โดยเป็นการขายสุทธิห้าเดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 2.9 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 8.1 พันล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นำโดยการท่องเที่ยวและการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก และไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ปัจจัยกดดันตลาดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจจะกดดันบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่มได้

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤษภาคม 2566

SET Index แกว่งตัวขึ้นเล็กน้อย โดยปรับตัวปิดที่ระดับ 1,533 จุด (+0.29% จากเดือนเมษายน) โดยมีปัจจัยบวกและลบสลับเข้ามากระทบตลาดตลอดทั้งเดือน สำหรับปัจจัยภายนอกคือ เรื่องความยืดเยื้อของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯหลังจากสภาบนและสภาล่างของสหรัฐฯมีความเห็นไม่ตรงกัน ก่อนที่จะมีข้อตกลงเชิงบวกช่วงท้ายเดือน ส่วนปัจจัยภายในจะเป็นในเรื่องของผลของการเลือกตั้งที่ผลลัพธ์นั้นออกมาผิดไปจากที่ตลาดคาด โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ได้คะแนนสูงสุด และได้สิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน สร้างความกังวลให้กับตลาดทุนจากนโยบายของพรรคที่มีโอกาสสร้างผลกระทบให้แก่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด

สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกนั้นนอกเหนือจากเรื่องการบรรลุข้อตกลงการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ทำให้ความกังวลต่อการผิดชำระหนี้ของสหรัฐฯได้คลี่คลายออกไป ยังมีเรื่องโอกาสที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังออกมาแข็งแกร่ง และยังคงมองว่าปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังไม่สิ้นสุดลง

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ จะมีเรื่องผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนสูงสุดและมีสิทธิในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ด้วยจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทย ประกอบกับสมาชิกวุฒิสภาที่ยังคงมีสิทธิในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ยังมีความไม่ชัดเจนต่อการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะออกมาในรูปแบบไหน นอกจากนี้ จากนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้นโยบายหลายนโยบายส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อาทิ นโยบายลดค่าไฟที่สร้างความกังวลต่อโอกาสในการเติบโตในประเทศของโรงไฟฟ้าในกลุ่มใช้ก๊าซ การเพิ่มภาษีบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเกิน 300 ล้านบาทจาก 20% เป็น 23% การเก็บภาษีผู้มีสินทรัพย์เกิน 300 ล้านบาท การเก็บภาษีที่ดินรายแปลงและรวมแปลง และเรื่องของ Capital Gain Tax ที่สร้างความกังวลว่าจะทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลง นโยบายทั้งหมดได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา

สรุปในเดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 31.7% กลุ่มยานยนต์ 5.8% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต 4.0% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี
-8.3% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -6.5% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -6.2% โดยปริมาณการซื้อขายในเดือนพฤษภาคมนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 3.3 หมื่นล้านโดยเป็นการขายสี่เดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.5 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.2 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในไตรมาสสองของปี 2566 เราคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยว เราคาดว่าหลังจากเห็นความชัดเจนจากการเลือกตั้งแล้ว หากประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีการฟังความเห็นของภาคเศรษฐกิจมาปรับนโยบายให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของประเทศ ตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้