ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – มกราคม 2562

ในเดือนนี้มีทั้งเหตุการณ์ทางการเมืองและการประชุมนโยบายการเงินที่ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน เช่น ที่ประเทศอังกฤษ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Theresa May รอดพ้นมติไม่ไว้วางใจ หลังจากที่ในวันก่อนหน้า ข้อตกลง Brexit ของรัฐบาลโหวตไม่ผ่านความเห็นชอบในสภาด้วยเสียงต่างที่มากเป็นประวัติการณ์ (432-202 เสียง) ส่งผลให้แกนนำฝ่ายค้านเปิดมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยนายกฯ กล่าวว่าจะเร่งเดินหน้าหารือกับสภาเพื่อทำการแก้ไขข้อตกลง Brexit ให้เป็นไปตามความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ ต่อมาในช่วงปลายเดือน สภาอังกฤษได้มีการอภิปรายและโหวตแนวทางการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งสภาได้โหวตไม่เห็นชอบการเลื่อนใช้มาตรา 50 (เพื่อออกจาก EU อย่างเป็นทางการ) ออกไปจากกำหนดวันที่ 29 มี.ค. นี้ แต่ได้โหวตเห็นชอบให้นายกฯ นำข้อตกลง Brexit เดิมกลับไปเจรจากับ EU อีกครั้ง เพื่อหามาตรการอื่นมาทดแทนมาตรการ “Backstop” ทั้งนี้ มาตรการ Backstop ได้กำหนดขึ้นมาในข้อตกลง Brexit เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงตามพรมแดนระหว่างประเทศสาธารณรัฐไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งเป็นประเทศสมาชิก EU และไอร์แลนด์เหนือซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร (UK) เพื่อสร้างความมั่นใจว่า แม้ในกรณีที่อังกฤษและ EU ไม่สามารถสรุปข้อตกลงทางการค้าได้ทันในช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition period; 30 มี.ค. 2019-31 ธ.ค. 2020) บริเวณพรมแดนดังกล่าวจะไม่มีการตั้งด่านระหว่างกันขึ้น

ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินเดิมตามคาด และยังคงย้ำว่าอัตราดอกเบี้ย (Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4%) จะคงอยู่ในระดับต่ำยาวไปจนถึงไตรมาส 3/2019 เป็นอย่างน้อย โดยประธาน ECB ได้กล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา ต่ำกว่าที่คาดค่อนข้างมาก อันเป็นผลจากทั้งอุปสงค์ภายนอกที่อ่อนแอลงและความเสี่ยงเฉพาะในบางประเทศและบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้าได้ส่งผลกดดันความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลาย ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และอัตราค่าจ้างที่เร่งตัว จะยังหนุนให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ได้ในระยะกลาง

ที่ประเทศสหรัฐฯ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% ตามที่คาด และส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน โดยระบุว่าจะรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน รวมถึงเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายและนโยบายด้านงบดุล นอกจากนี้ Fed ยังระบุว่าพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนขนาดและสัดส่วนสินทรัพย์ต่างๆ ในงบดุล ในกรณีที่เศรษฐกิจชะลอลงมากกว่าที่คาดและส่งผลให้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ นาย Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวหลังการประชุมว่าแม้ตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจจีนและยุโรปที่ชะลอลง ความไม่แน่นอนของ Brexit การเจรจาการค้า รวมถึง Government Shutdown ที่กินระยะเวลา 5 สัปดาห์ ก็ได้ส่งผลให้สภาวะทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอน ซึ่งนาย Powell กล่าวว่า ควรรอให้สภาวะเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ามีความชัดเจนมากขึ้นก่อน ด้านการปรับลดขนาดงบดุล นาย Powell กล่าวว่าการลดขนาดงบดุลอาจสิ้นสุดเร็วกว่าที่คาด โดยที่งบดุลจะมีขนาดใหญ่กว่าที่เคยประเมินไว้ในตอนแรก เพื่อหนุนสภาพคล่องในตลาดการเงิน

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 20.47 พันล้านบาท แต่ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 13.03 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 7.88 พันล้านบาท ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งเดือนหลัง ผลการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นมาแตะระดับที่ใกล้เคียงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% โดยอัตราผลตอบแทนจากประมูลรุ่นอายุ 14 วันอยู่ระหว่าง 1.65-1.75% เฉลี่ย 1.71149%, รุ่นอายุ 91 วันอยู่ระหว่าง 1.72-1.74% เฉลี่ย 1.73557% และรุ่นอายุ 182 วันอยู่ระหว่าง 1.74-1.7760% เฉลี่ย 1.75736% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวกลับปรับลดลง 0.01-0.08% ตามทิศทางตลาดต่างประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยว่ามีโอกาสลดลง ตลอดจนความกังวลว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไม่เป็นไปตามคาด

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – ธันวาคม 2561

ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -4.7% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยได้รับแรงกดดันหลักจากปัจจัยลบจากต่างประเทศ ได้แก่ พัฒนาการด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ราคาน้ำมันดิบตกต่ำ และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ส่วนปัจจัยภายในที่กดดันตลาดคือ การขึ้นดอกเบี้ยของกนง.

SET Index ปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือนไปทดสอบแนวต้านที่ 1,680 จุด จากข่าวการเจรจาการค้าสหรัฐฯ และจีน ที่ประกาศสงบศึกการค้า 90 วันนับจากต้นเดือนธันวาคม 2561 ส่งผลให้เส้นตายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนจาก 10% เป็น 25% มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มีนาคม 2562 และในช่วงตลอดเดือนธันวาคม ก็มีพัฒนาการเชิงบวก โดยเฉพาะจากทางฝั่งจีน ที่มีการส่งสัญญาณลดภาษีนำเข้ารถยนต์สหรัฐฯ และจะมีการนำเข้าถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากสหรัฐอีกครั้ง

หลังจากสัปดาห์แรกของเดือน SET Index ปรับตัวลงตลอดจนถึงสิ้นเดือน พร้อมกับการพักฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยข่าวร้ายที่ถาโถมมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การจับกุม CFO ของ Huawei ที่สร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้น เนื่องจากเกรงว่าจะบานปลายไปกระทบการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงด้านการเมืองในสหรัฐฯ ว่าจะเกิด Government Shutdown หลังจากสภาฯไม่อนุมัติร่างงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกตามความต้องการของประธานาธิบดี Trump และในฝั่งยุโรปเอง ก็มีความเสี่ยงจากการเลื่อนการพิจารณาร่าง Brexit ของรัฐสภาอังกฤษ

นอกจากนี้ ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เดือนธันวาคม มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตามคาด มาอยู่ที่ 2.5% แต่โทนการประชุมมีแนวโน้มที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยลง จากเดิม 3 ครั้งในปี 2019 เหลือเพียง 2 ครั้ง ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง ส่วนในฝั่งของไทย กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปีสู่ระดับ 1.75% พร้อมกับปรับลดการคาดการณ์ GDP ปี 2018 ลงเหลือ 4.2% และปี 2019 ลงเหลือ 4% จากการชะลอตัวของภาคการส่งออก แต่ยังประเมินว่าเศรษฐกิจภายในประเทศยังแข็งแกร่ง รวมทั้งการบริโภคยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง

สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมันนั้น ยังคงไม่ฟื้นตัวจากเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกชะลอตัว กอปรกับปัญหาด้านอุปทานที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังกำลังการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ แซงหน้ารัสเซียกลายเป็นอันดับหนึ่งของโลก ยิ่งไปกว่านั้น หลัง PTTEP ชนะการประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณตามตลาดคาด แต่ราคาที่เสนอต่ำกว่าคาดมาก ทำให้ตลาดเชื่อว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะลดลง ทำให้ราคาหุ้นลดลงแรงและกดดัน SET Index มาอยู่ระดับต่ำกว่า 1,600 จุด และเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550 – 1,600 จนสิ้นปี

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนธันวาคม 2561 SET Index ได้ปิดที่ 1,563.88 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,641.08 จุด หรือประมาณ -4.7% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +1.1% กลุ่มพาณิชย์ -1.8% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -2.4% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -12.5% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -9.3% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -7.6% ในเดือนธันวาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 293 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 5,671 ล้านบาท

สำหรับการลงทุนในปี 2018 ที่ผ่านมา แม้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยจะยังเติบโตได้ดี โดยคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 13% เมื่อเทียบกับปี 2017 ซึ่งน่าจะผลักดันให้ SET Index มีการปรับตัวขึ้นในทางเดียวกันกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยจากต่างประเทศกลับเข้ามามีบทบาทต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก เช่น ประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ FED ภาวะหนี้ของประเทศในกลุ่มอียู เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่อ่อนค่าลง และการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ทำให้ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวผันผวนมากตามปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะราคาหุ้นในกลุ่มขนาดกลาง-เล็ก ที่หลาย ๆ บริษัทปรับลดลงกว่า 50% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน

สำหรับทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET Index ในปี 2019 นั้น ปัจจัยหลักภายในประเทศที่ต้องติดตามคือผลการเลือกตั้งที่จะจัดขึ้นในช่วงต้นปี ซึ่งในสถานการณ์ปรกติ ตลาดหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้ง หรือที่เรียกกันว่า “Election Rally” แต่ในรอบนี้ นักลงทุนไทยและต่างชาติจะเฝ้ารอผลการเลือกตั้ง เพื่อพิจารณาถึงความมีสเถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่และความต่อเนื่องของนโยบายและแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ในขณะที่ปัจจัยต่างประเทศหลักที่ต้องติดตามคือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน และการนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการบริหารสภาพคล่องของ FED ซึ่งหากปัจจัยต่าง ๆ มีการคลี่คลายไปในทิศทางที่ดี ก็เชื่อว่านักลงทุนจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้ง หลังจากการขายและถือเงินสดมากขึ้นในปี 2018 ทั้งนี้ บลจ.ทาลิสคาดว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบค่าพีอีประมาณ 13.5 – 16 เท่า หรือคิดเป็นดัชนีอยู่ในช่วง 1,550 – 1,840 จุด ซึ่ง ณ ระดับดัชนีที่ต่ำกว่า 1,600 จุด คิดเป็นค่าพีอีตลาดเพียง 13.9 เท่า จึงเป็นระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุนในหุ้นสำหรับการลงทุนในระยะยาว

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – ธันวาคม 2561

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศจะยุติมาตรการ QE ภายในปี 2018 ตามที่ตลาดคาด หลังจากดำเนินมาตรการนี้มาเป็นระยะเวลาเกือบ 4 ปี คิดเป็นมูลค่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย ECB จะยังทำการลงทุนต่อในพันธบัตรที่ครบกำหนดอายุ (Reinvestment) ยาวไปจนกว่าจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกเป็นอย่างน้อย (ประมาณ 12 เดือน) เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบและเพื่อให้นโยบายการเงินยังมีความผ่อนคลายช่วยหนุนเศรษฐกิจ ก่อนที่จะทำการลดขนาดงบดุลลง ด้านอัตราดอกเบี้ย ECB ยังคงย้ำอัตราดอกเบี้ย (Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4%) จะคงอยู่ที่ระดับต่ำนี้ยาวไปจนถึงไตรมาส 3/2019 เป็นอย่างน้อย หรือจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะขยายตัวใกล้เป้าหมายที่ 2% ได้อย่างยั่งยืนในระยะกลาง โดยขณะนี้ตลาดได้ชะลอคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของ ECB ออกไปเป็นในไตรมาส 1 ปี 2020 ทางด้านเศรษฐกิจ ประธาน ECB กล่าวว่าความเสี่ยงมีเพิ่มมากขึ้นทั้งจากปัญหาการเมือง นโยบายกีดกันการค้า และความผันผวนในตลาดเงิน จึงปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้และปีหน้าลง เป็น 1.9% และ 1.7% ตามลำดับ แต่มองว่าอุปสงค์ในประเทศยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการบริโภคเอกชนที่ได้รับปัจจัยหนุนจากตลาดแรงงานที่ตึงตัวช่วยหนุนให้อัตราค่าจ้างเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง

ทางด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติ 8-0 ให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps เป็น 2.25-2.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ อย่างไรก็ดี FED ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเป็น 3.0% (จาก 3.1%) และปี 2019 ปรับลงเป็น 2.3% (จาก 2.5%) แต่คงคาดการณ์ปี 2020 ไว้ที่ 2.0% และปี 2021 ที่ 1.8% ทางด้านเงินเฟ้อ ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ Core PCE ปีนี้ลงเป็น 1.9% (จาก 2.0%) และปี 2019-2021 ลงเป็น 2.0% (จาก 2.1%) นอกจากนี้ FED ยังได้ปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวลง 0.20% เป็น 2.8% ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของนาย Jerome Powell ประธาน FED ในช่วงปลายเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาว่าอัตราดอกเบี้ยเริ่มเข้าใกล้ระดับปกติ การปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของ FED ในครั้งนี้ เป็นเพียงการปรับลดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดย FED ยังคงมองภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และย้ำว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าจะดูจากตัวเลขเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

ในขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี เป็นร้อยละ 1.75% ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศ แม้ว่าภาคต่างประเทศจะชะลอลง กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินและสร้างความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) กนง.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2019 มีแนวโน้มชะลอลงเป็น +4.0% yoy จากที่คาดว่าจะขยายตัว +4.2% ในปีนี้ โดยมีปัจจัยฉุดที่สำคัญจากภาคต่างประเทศเป็นหลัก อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะมีส่วนช่วยชดเชยภาคต่างประเทศที่ชะลอลง ทางด้านการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อรายเดือน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) เดือน พ.ย. ชะลอตัวลงเป็น +0.94% yoy จาก +1.23% yoy ในเดือนก่อน และต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ +1.03% yoy ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ชะลอตัวลงเป็น +0.69% yoy จาก +0.95% yoy ในเดือนก่อน

ตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้มีทิศทางปรับตัวลงตลอดทุกช่วงอายุ ยกเว้นพันธบัตรระยะสั้นที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปีที่อัตราผลตอบแทนกลับปรับเพิ่มขึ้นหลังจากทราบผลการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทยปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ ที่ในเดือนนี้มีความกังวลในหลายเรื่องทั้งปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ มุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง รวมถึงความเป็นไปได้ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยน้อยลงกว่าแผนเดิม ทำให้ 10-Year US Treasury Yield ปิดสิ้นปีที่ 2.72% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32 bps โดยสรุปตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้น 30-111 bps ในขณะที่ตลาดพันธบัตรของไทยปรับเพิ่มขึ้น 16-42 bps ยกเว้นรุ่นอายุ 10 ปี เป็นช่วงอายุเดียวที่ปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ปิดสิ้นปีที่ 2.51% ลดลง 3 bps ในเดือนธันวาคมนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิ แบ่งเป็นการขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 1.11 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 1.58 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยประมาณ 9.86 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1.34 แสนล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤศจิกายน 2561

ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา SET Index ได้ปรับตัวลง -1.64% จากสิ้นเดือนตุลาคม ซึ่งมีหลายปัจจัยกดดันตลาดด้วยกัน ทั้งปัจจัยภายนอก ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และปัจจัยภายใน ได้แก่ การประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของไทยที่ออกมาต่ำกว่าคาดมาก

SET Index แกว่งตัวอยู่บริเวณระดับ 1,650-1,670 จุดในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 โดยกำไรรวมของบริษัททั้งหมดอยู่ที่ 2.57 แสนล้านบาท (+21% YoY และ +2% QoQ) โดยกลุ่มธุรกิจที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก ได้แก่ กลุ่มบันเทิง กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีภัณฑ์ ส่วนกลุ่มที่มีการเติบโตต่ำหรือหดตัวแรง ได้แก่ กลุ่มขนส่งทางอากาศ กลุ่มพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดรวมกัน 9 เดือน คิดเป็น 73% ของประมาณการกำไรสุทธิของปี 2018 ทั้งปี ซึ่งยังอยู่ในกรอบที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้ตลาดหุ้นตอบสนองไม่มากนักกับผลประกอบการในไตรมาสนี้

ต่อมา วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 มีการประกาศตัวเลข GDP ของไทยในไตรมาส 3 อยู่ที่ขยายตัว 3.3% YoY ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.2% และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่เติบโต 4.6% YoY นับเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 7 ไตรมาส โดยปัจจัยกดดันหลักมาจากภาคการส่งออกของสินค้าไทย ที่ได้รับผลกระทบบางส่วนจากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และการชะลอตัวลงของภาคการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวจีนที่มีจำนวนลดลงจากปีที่แล้วค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนยังเติบโตได้ดีจากยอดขายรถยนต์ และการลงทุนโดยรวมยังขยายตัว ซึ่งจากตัวเลขภาวะเศรษฐกิจไทยล่าสุดที่รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนตุลาคม พบว่าการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงหดตัว

ในด้านต่างประเทศ สหรัฐฯ มีการจัดการเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งผลการเลือกตั้งออกมาว่า พรรคเดโมแครตชนะและครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลีกันยังคงเสียงข้างมากในวุฒิสภา ทำให้แนวโน้มต่อจากนี้ไป การผ่านกฎหมายหรือนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้ส่งผล Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นในเอเชียเล็กน้อย นอกจากนี้ ตลาดยังคงรอผลการเจรจาของสหรัฐฯ และจีนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง จะพบกันในการประชุม G20 ในต้นเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ หากพบว่าสหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มเจรจากันได้และมีการผ่อนปรนการเก็บภาษี ข่าวนี้จะส่งบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

อีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันตลาดคือ ราคาน้ำมันดิบ ที่ยังอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากเดือนตุลาคม โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวลดลงจากระดับกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในช่วงต้นเดือนมาสู่ระดับ 59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปลายเดือน ด้วยความกังวลต่อภาวะอุปทานน้ำมันดิบส่วนเกิน จากตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสหรัฐฯ มีการผ่อนปรนการคว่ำบาตรอิหร่าน โดยยังคงให้ 8 ประเทศสามารถนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านได้ นอกจากนี้ กำลังการผลิตของ OPEC ก็มีการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีเช่นกัน จากการเพิ่มการผลิตของซาอุดิอาระเบียและลิเบีย ราคาน้ำมันดิบจึงปรับตัวลงมาก กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ทั้งนี้ ต้องติดตามความคืบหน้าในการหารือเรื่องการลดกำลังการผลิตในการประชุม OPEC ในเดือนธันวาคมนี้

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2561 SET Index ได้ปิดที่ 1,641.80 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,669.09 จุด หรือประมาณ -1.6% จากสิ้นเดือนตุลาคม โดยราคาหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการแพทย์ +2.42% กลุ่มขนส่ง +0.4% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ +0.0% ในขณะที่ราคาหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลงแรงที่สุด ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ -7.4% กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสาร -5.1% และ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -5.0% ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยสุทธิ 13,993 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศได้ทำการซื้อสุทธิ 14,677 ล้านบาท

บลจ. ทาลิสยังคงมุมมองแนวโน้มระยะกลางของตลาดหุ้นไทยว่ามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบกว้างที่ 1,600-1,900 จุด โดยตลาดเริ่มซึมซับปัจจัยลบจากต่างประเทศไปมากแล้ว เช่น ข่าวสงครามการค้าและการลดลงของราคาน้ำมันดิบ เป็นต้น ในระยะต่อไป ปัจจัยภายในประเทศน่าจะเริ่มส่งผลต่อตลาดมากขึ้น ทั้งเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังเติบโตได้ดี ตัวเลข GDP ในไตรมาส 4 และแนวโน้มการเติบโตของ GDP ปีหน้า และเรื่องความคืบหน้าของการเลือกตั้ง ที่น่าจะเริ่มชัดเจนมากขึ้นในเดือนธันวาคม และหากการเลือกตั้งยังเป็นไปตามกำหนดการเดิม คือ 24 กุมภาพันธ์ 2562 น่าจะส่งผลบวกในแง่จิตวิทยาต่อตลาด และทำให้ SET Index ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – พฤศจิกายน 2561

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ แถลงการณ์หลังการประชุมมีความกังวลถึงความเสี่ยงจากภายนอกที่เพิ่มขึ้นทั้งจากเศรษฐกิจยูโรโซนที่ชะลอลง สถานการณ์ทางการเงินของประเทศในกลุ่ม Emerging Market ที่ตึงตัวขึ้น และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่จะกระทบเศรษฐกิจโลกในระยะสั้น ทั้งนี้ BOE ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงเป็น 1.3% yoy (จากเดิม 1.4%) และปีหน้าลงเป็น 1.7% yoy (จากเดิม 1.8%) จากการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มอ่อนแอ ส่วนเงินเฟ้อได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ปีนี้ขึ้นเป็น 2.5% yoy (จากเดิม 2.3%) จากอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด และปรับลดคาดการณ์ปีหน้าลงเป็น 2.1% yoy (จากเดิม 2.2%) จากการเสนอให้มีการตั้งเพดานราคากลุ่มพลังงานของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ส่วนกรณี Brexit ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ และมองว่าการแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการของอังกฤษ สามารถส่งผลต่อแนวทางการเปลี่่ยนแปลงของดอกเบี้ยนโยบายได้ทั้งสองทาง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลของการเจรจา Brexit และการตอบสนองของภาคเอกชน

การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00-2.25% ตามที่ตลาดคาด โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่ง FED กล่าวถึงอัตราการว่างงานว่าได้ “ลดลง” จากเดิมที่กล่าวว่า “อยู่ในระดับต่ำ” (อัตราการว่างงานอยู่ที่ 3.7% ในเดือน ต.ค. ต่ำสุดในรอบ 49 ปี) อย่างไรก็ดี FED มองว่าการลงทุนเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากที่ขยายตัวแรงไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี ในเดือนนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นปรับขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปีขึ้นไปกลับลดลง จากความกังวลในหลายปัจจัย เช่น จากผลการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ ที่พรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จะทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์มีอุปสรรคในการผ่านนโยบายต่าง ๆ, ในช่วงปลายเดือนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงกว่า 6% สู่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำที่สุดในรอบปี จากความกังวลว่าตลาดน้ำมันดิบโลกจะเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกินในปีหน้าเนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของความต้องการบริโภคน้ำมันที่ลดลง ขณะที่ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และการประชุม G20 ซึ่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และจีนจะหารือเรื่องการค้าร่วมกัน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าสหรัฐฯ จะยังเดินหน้าปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนกลุ่ม 2 แสนล้านดอลลาร์จาก 10% ขึ้นเป็น 25% ในปีหน้า

ในขณะที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 4 ต่อ 3 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% เป็นครั้งที่ 28 ติดต่อกัน โดยกรรมการ 3 ท่านเห็นว่าควรขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอ และการใช้ดอกเบี้ยต่ำกว่าที่ควรเป็นเวลานานจะส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาคการเงินต่ำไป นอกจากนี้ กนง. ยังคงมุมมองเชิงบวกกับเศรษฐกิจไทย คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทางด้านการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงาน GDP 3Q18 ขยายตัว +3.3% yoy ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาด (เทียบกับ +4.6% ไตรมาสก่อน) จากการส่งออกสินค้าและบริการที่หดตัว -0.1% yoy (เทียบกับ +6.8% ไตรมาสก่อน) ขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัว +10.7% yoy (เทียบกับ +8.3% ไตรมาสก่อน) การส่งออกสินค้าหดตัว -0.2% yoy (เทียบกับ +7.4% ไตรมาสก่อน) จากผลกระทบจากสงครามการค้า ขณะที่การส่งออกบริการขยายตัว +0.2% yoy (เทียบกับ +4.9% ไตรมาสก่อน) จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงจากเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตและนักท่องเที่ยวยุโรปที่ลดลงในช่วงเทศกาลฟุตบอลโลก

ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย โดยรวมปรับลดลงในทุกช่วงอายุทั้งจากตลาดแรกและการซื้อขายในตลาดรอง การประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์สุดท้ายให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยแต่ละประเภทดังนี้ 14 วัน ที่อัตรา 1.3035%, 3 เดือนที่อัตรา 1.4025% และ 6 เดือนที่อัตรา 1.5635% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ ในเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิต่อเนื่อง แบ่งเป็นการขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 3.6 พันล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 2.6 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยประมาณ 9.86 แสนล้าน ซึ่งเป็นยอดถือครองสูงสุดในรอบปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1.3 แสนล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ