ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤษภาคม 2562

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลง -3.2% จากสิ้นเดือนเมษายน 2562 โดยปรับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน จากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ต่ำกว่าคาด การทวีความรุนแรงขึ้นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และราคาน้ำมันปรับตัวลดลง

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากบริเวณ 1,679 จุด ลงมาทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,602 จุดในช่วงกลางเดือน จากการทยอยประกาศงบกำไรขาดทุนของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด โดยกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียนรวมอยู่ที่ 2.53 แสนล้านบาท คิดเป็นการลดลง -9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2561 แต่เพิ่มขึ้น 73% จากไตรมาส 4 ปี 2561 โดยกลุ่มธุรกิจที่ยังมีกำไรเติบโตจากปีที่แล้ว ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ กลุ่มธุรกิจอาหารและการเกษตร กลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น จากตัวเลขกำไรที่ประกาศออกมา ทำให้นักวิเคราะห์มีการปรับลดประมาณกำไรสุทธิของปี 2562 ลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นผลให้กำไรต่อหุ้นของตลาดถูกปรับลดลงประมาณ 6-7% เป็นสาเหตุให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรง

เมื่อพิจารณาตามรายกลุ่มธุรกิจ กลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้วคือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่เติบโตถึง 182% จากไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ตามความคืบหน้าที่เพิ่มขึ้นของงานในมือ ทั้งงานเอกชนและภาครัฐ รวมทั้งการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ชมพู น้ำเงิน และส้ม ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากงานรถไฟฟ้าให้อัตรากำไรค่อนข้างดี แม้บางบริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายสำรองการจ่ายชดเชยพนักงาน แต่กำไรรวมของกลุ่มก็ยังเติบโตได้ดี

กลุ่มธุรกิจการแพทย์มีกำไรรวมเติบโตดี เพิ่มขึ้น 83% จากไตรมาส 1 ปี 2561 เนื่องจาก BDMS มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในหุ้น RAM เป็นจำนวนกว่า 6 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ กำไรรวมของกลุ่มเติบโตได้เล็กน้อยจากปีที่แล้ว แต่แนวโน้มของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลยังไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องการออกกฎหมายควบคุมราคายา ซึ่งจะกระทบการทำกำไรของกลุ่มโรงพยาบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกกลุ่มหนึ่งที่กำไรเติบโตได้ดีจากรายการพิเศษนั่นคือ กลุ่มโทรคมนาคม จากการที่ TRUE มีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนและการตีมูลค่าสินทรัพย์ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) เป็นจำนวนกว่า 1.1 พันล้านบาท

อีกกลุ่มหนึ่งที่กำไรออกมาค่อนข้างดี คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2561 กว่า 60% เนื่องมาจากการที่ผู้ประกอบการเร่งยอดโอนให้ทันภายในไตรมาสแรกของปีนี้ หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อให้วงเงินต่อหลักประกัน (Loan-to-Value: LTV) ต่ำกว่า 95% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังที่สองขึ้นไป หรือต่ำกว่า 80% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท เป็นต้น ทำให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคต่างเร่งการโอน ก่อนการประกาศใช้มาตรการนี้วันที่ 1 เมษายน 2019 แต่หากมองภาพยอดขายล่วงหน้า (Presales) พบว่าลดลงประมาณ 9% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อกเก่า จึงชะลอการเปิดโครงการใหม่ รวมทั้งผู้บริโภคก็ตัดสินใจซื้อยากขึ้น แนวโน้มของกำไรในกลุ่มนี้ในภาพระยะกลางยังมีโอกาสผันผวนจากมาตรการ LTV บ้าง แต่ก็เป็นกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง

จากนั้นในช่วงปลายเดือน พัฒนาการของสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นไปในทิศทางที่แย่ลง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม วงเงิน 2 แสนล้านเหรียญจากระดับ 10% เป็นระดับ 25% และประกาศห้ามบริษัทสัญชาติอเมริกันใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่ผลิตโดยบริษัทที่ก่อความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ เช่น บริษัท Huawei ของจีน ทำให้จีนตอบโต้ด้วยการยุติการสั่งซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ วงเงิน 6 หมื่นล้านเหรียญ จากระดับ 10% เป็นระดับ 25% อีกทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีการเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตแร่ Rare Earth ในประเทศจีน ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแม่เหล็ก ชิป ไมโครชิป และอุปกรณ์ที่ใช้ในสินค้า High Technology ต่าง ๆ โดยจีนเป็นผู้ผลิตแร่ Rare Earth เกือบ 90% ของอุปทานทั้งหมดในตลาดโลก เป็นการส่งสัญญาณข่มขู่สหรัฐฯ ทำให้ในท้ายสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขยายระยะเวลาการแบน Huawai ออกไป 90 วัน อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ได้จุดชนวนให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าเกี่ยวกับสินค้าเทคโนโลยี (Tech War) ขึ้น หุ้นในกลุ่มไอทีในจีนและสหรัฐฯ ปรับลดลงรุนแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไอที

หุ้นที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันปรับตัวลงเช่นกัน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ในตลาดล่วงหน้าปรับตัวลดลงถึง -16.3% สู่ระดับ 53.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อันเนื่องมาจากความกังวลประเด็นสงครามการค้าจะกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจโลกและความต้องการใช้น้ำมัน

ในช่วงปลายเดือน SET Index มีการฟื้นตัวเล็กน้อย จาก MSCI Rebalance ที่น้ำหนักของตลาดหุ้นไทยในดัชนี MSCI Emerging Markets ปรับเพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 2.8% ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 2 แสนล้านบาทในวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 และน่าจะยังมีเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง จากการปรับ Port การลงทุนของกองทุนต่าง ๆ ที่ใช้ MSCI Index เป็น Benchmark

สำหรับการเมืองในประเทศ เริ่มมีความชัดเจนขึ้นหลังจากมีการเปิดประชุมสภา และมีมติเลือกประธานสภาเป็นนายชวน หลีกภัย โดยมีแนวโน้มสูงที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยมีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำรัฐบาล ซึ่งหากมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะทำให้โครงการต่าง ๆ ของรัฐขับเคลื่อนต่อไปได้ และเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤษภาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,620.22 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,676.60 จุด หรือประมาณ -3.2% จากสิ้นเดือนเมษายน 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม +2.3% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -0.2% และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร -0.5% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -17.5% กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ -13.3% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -5.9% ในเดือนพฤษภาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 3,672 ล้านบาท โดยในวันที่ 28 พฤษภาคมมีการซื้อสุทธิสูงถึง 12,535 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 15,549 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – พฤษภาคม 2562

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของประเทศสหรัฐฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% ตามที่คาด โดยรายงานการประชุมระบุว่า Fed มองเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีและตลาดแรงงานแข็งแกร่ง ในขณะที่เงินเฟ้อขยายตัวในระดับ “ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2%” ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนที่ระบุว่าขยายตัว “ใกล้เป้าหมายที่ 2%” หลังจากเงินเฟ้อ Core PCE ล่าสุดเดือน มี.ค. ลดลงมาอยู่ที่ 1.6% YoY นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกและตลาดการเงินที่ยังไม่แน่นอน ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อที่อ่อนแอ ทำให้ Fed รอประเมินสถานการณ์ในระยะข้างหน้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันยังมีความเหมาะสม ทั้งนี้ Fed ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ (Interest on Excess Reserves: IOER) ลง -5bps เป็น 2.35% เพื่อควบคุมไม่ให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน (Effective Fed Funds rate) ขยับเข้าใกล้กรอบบนของดอกเบี้ยนโยบายมากเกินไป ทางด้านนาย Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวว่าเงินเฟ้อที่อ่อนแอในช่วงที่ผ่านมาเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราวและไม่ได้ชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง นอกจากนี้ นาย Powell ระบุว่านโยบายการเงินตอนนี้มีความเหมาะสมและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนในตอนนี้ และยังมองว่าตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวได้ดี จะหนุนให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ในระยะข้างหน้า

ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามคาด และย้ำว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายขึ้นอยู่กับผลการเจรจา Brexit โดยในการประชุมรอบนี้ BOE ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2019-2021 ขึ้นเป็น 1.5% YoY, 1.6% YoY และ 2.1% YoY ตามลำดับ จากการบริโภคเอกชนซึ่งได้รับแรงหนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ขณะที่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปี 2019-2020 ลงเป็น 1.6% YoY และ 2.0% YoY ตามลำดับจากราคาน้ำมันขายปลีก แต่ยังคงคาดเงินเฟ้อปี 2021 ที่ 2.1% YoY นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็มีความเหมาะสม เพื่อให้เงินเฟ้อขยายตัวที่เป้าหมาย 2% โดย BOE จะทยอยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ พัฒนาการทางเศรษฐกิจนั้น ยังคงขึ้นอยู่กับผลการเจรจา Brexit ว่าจะออกมาในรูปแบบใด นาย Mark Carney ผู้ว่าการ BOE ระบุว่าหากรัฐบาลสามารถได้ข้อตกลง Brexit และออกจาก EU ไปแบบราบรื่น อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มที่จะต้องปรับเพิ่มขึ้น และอาจปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย มีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาด โดยกนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการส่งออกและการลงทุน อย่างไรก็ดี คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวต่อเนื่อง แต่ยังได้รับแรงกดดันจากการจ้างงานในภาคก่อสร้างและภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่เริ่มทรงตัว กนง. มีความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ ดังนั้นมาตรการดูแลเสถียรภาพทางการเงินในระยะถัดไปจะต้องให้ความสำคัญกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

ทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงาน GDP ไตรมาส 1/2019 ชะลอตัวลงเป็น +2.8% YoY เท่ากับที่ตลาดคาด จาก +3.6% YoY ในไตรมาสก่อน โดยเศรษฐกิจได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอ ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เงินบาทที่แข็งค่า และความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ขณะที่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวดี นำโดยการบริโภคเอกชน (+4.6% YoY) และการลงทุนภาคเอกชน (+4.4% YoY) อย่างไรก็ดี การลงทุนภาครัฐยังคงอ่อนแอ (-0.1% YoY) ทั้งนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB) ปรับลดเป้า GDP ปี 2019 ลงเป็น 3.3-3.8% (จากเดิมที่ 3.5-4.5%)

สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ไทย ในเดือนนี้เป็นเดือนแรกนับตั้งแต่ต้นปีที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทย แบ่งเป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 1.03 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 8.6 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการซื้อสุทธิ 1.34 หมื่นล้านบาท หรือถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย 9.37 แสนล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าการถือครอง ณ สิ้นปีที่ผ่านมาที่ 9.86 แสนล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนนี้ได้รับอิทธิพลจากการปรับลดลงอย่างมากของ US Treasury Yield จากความกังวลสงครามการค้าและความผันผวนของตลาดหุ้น โดยทางฝั่งสหรัฐฯ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงมา 6-32 Bps โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวมีการปรับลดลงมากกว่าพันธบัตรระยะสั้น ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 1 ปีปรับขึ้น 1-5Bps ในขณะที่พันธบัตรระยะยาวอายุ 5 ปีขึ้นไปปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ 6-17Bps

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – เมษายน 2562

ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น +2.13% จากสิ้นเดือนมีนาคม 2562 โดยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นเดือน ปัจจัยที่ทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นในรอบนี้ ได้แก่ การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน และไม่มีปัจจัยลบจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่เริ่มมีแนวโน้มคลี่คลาย

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงต้นเดือน จากระดับบริเวณ 1,627 จุด และขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 1,684 จุด ก่อนจะปรับตัวลงมาบริเวณ 1,674 จุดในปลายเดือน นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มพลังงาน หลังจากสหรัฐฯ ประกาศให้ทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง ยกเลิกการนำเข้าน้ำมันดิบจากประเทศอิหร่านภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 กอปรกับการเกิดความไม่สงบในประเทศลิเบีย และการลดการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศเวเนซุเอลา ทำให้ความกังวลด้าน Oversupply ของน้ำมันดิบลดลง จึงทำให้ราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้น 5.37% ในเดือนเมษายน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ตลาดมีปัจจัยลบเล็กน้อยเนื่องจากทาง IMF ได้ออกมาปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP โลกปี 2562 ลงเหลือ 3.3% จากเดิม 3.5% ในเดือนมกราคม และเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือน ส่วนการเติบโตของจีดีพีในปี 2563 ยังคงประมาณการเดิม โดยประเทศที่ถูกปรับลดการเติบโตมากที่สุด ได้แก่ ประเทศเยอรมัน -0.5% จากเรื่องการปรับมาตรฐานการปล่อยก๊าซพิษจากรถยนต์ ที่กระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ ประเทศอิตาลี -0.5% จากปัญหาหนี้สาธารณะในระดับสูง ประเทศอังกฤษ -0.3% จากการออกสหภาพยุโรปฯ ที่ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุป และสหรัฐอเมริกา -0.2% จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ยุติการจ่ายงบประมาณ (Government Shutdown) ในเดือนมกราคม และการใช้จ่ายภาครัฐที่น้อยกว่าคาด ส่วนประเทศจีนถูกปรับขึ้น 0.1% จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาลจีน แต่ SET Index ไม่ได้ปรับลงเท่าใดนัก และจะเห็นว่าการปรับลดการเติบโตของจีดีพีโลกของ IMF นั้น ส่วนใหญ่เป็นการลดในประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ยิ่งเป็นผลดีต่อประเทศกำลังพัฒนาที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูงกว่าและยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในปีนี้และปีหน้า

ในช่วงกลางเดือน เป็นการประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งว่าหลาย ๆ ธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการตั้งสำรองผลประโยชน์เกษียณอายุพนักงานตามกฎหมายใหม่ และรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้จากธุรกิจประกันที่ลดลงค่อนข้างมาก และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวในระยะอันใกล้นี้ แต่หากดูกำไรรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะพบว่ายังเติบโตได้ประมาณ 2% ทั้งนี้มาจากการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายธุรกิจเงินติดล้อของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 8.6 พันล้านบาท โดยรวมแล้ว ผลกำไรไม่ได้สร้างความผิดหวังหรือความยินดีให้กับนักลงทุน ราคาหุ้นธนาคารพาณิชย์จึงเคลื่อนไหวในกรอบแคบเท่านั้น

อีกปัจจัยที่อาจสนับสนุนตลาดในระยะอันใกล้ ได้แก่ การปรับเกณฑ์การคำนวณสัดส่วนการลงทุนในหุ้นของดัชนี MSCI ในรอบเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ที่ให้นำหุ้น NDVR เข้ามารวมในการคำนวณน้ำหนักของดัชนีได้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 2.3% เป็น 2.8% (รวมผลกระทบของการรวมดัชนี China A Share ซาอุดิอาระเบีย และอาร์เจนติน่าด้วยแล้ว) คิดเป็นวงเงินลงทุนรวม 7.6 หมื่นล้านบาทที่มีแนวโน้มไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลังการ Rebalance MSCI ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2562

สำหรับประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะยังถือเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก และมีกำหนดที่จะประชุมกันอีกครั้งในวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่ทั้งสองประเทศจะบรรลุข้อตกลงด้านการค้ากันได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะเป็นข่าวดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงตลาดหุ้นทั่วโลก แต่หากไม่สามารถเจรจากันได้ จะถือเป็นความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นในระยะถัดไป
สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นมาจากต้นปี แต่ SET Index บริเวณปัจจุบันที่ 1,674 จุด ยังให้ค่า PE ของตลาดในปี 2019 เท่ากับ 15.5 เท่า ซึ่งยังอยู่ในระดับไม่แพง อีกทั้งการถือครองหุ้นของต่างชาติ (รวม NVDR) ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 30% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2005 และภายในวันที่ 9 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และคาดว่าจะมีพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากและสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ ตลาดหุ้นไทยจะปลดล็อคเรื่องความเสี่ยงทางการเมือง ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มจะพิจารณากลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง พร้อมกับ Fund Flow จาก MSCI Rebalance ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจในระยะสั้นนี้ โดยกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตดี และมีมูลค่าที่เหมาะสม

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – เมษายน 2562

ในเดือนนี้ตลาดสหรัฐฯ มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สะท้อนว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ได้แก่ การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น +1.96 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดไว้ที่ +1.77 แสนราย ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวในระดับต่ำที่ 3.8% เท่ากับเดือนก่อนและเท่ากับที่ตลาดคาด ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้น +0.1% MoM แต่ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ +0.3% MoM และเดือนก่อนที่ +0.4% MoM ส่งผลให้เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ค่าจ้างชะลอตัวลงเป็น +3.2% YoY นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือน มีการประกาศ GDP ไตรมาส 1/2019 ในเบื้องต้นว่าขยายตัว +3.2% เร่งขึ้นจาก +2.2% ในไตรมาสก่อน และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้อย่างมากที่ +2.3% อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าคาดในไตรมาสนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลัง และยอดส่งออกสุทธิ เป็นสำคัญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสนี้

ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินเดิมตามคาด และย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4%) จะคงอยู่ที่ระดับต่ำนี้ยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย และจะซื้อคืนพันธบัตรที่ครบกำหนดอายุ (Reinvest) ต่อไปจนกว่าอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย นาย Mario Draghi ประธาน ECB กล่าวว่าโมเมนตัมทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงและเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงต่อจากนี้ ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อในระยะข้างหน้า (เงินเฟ้อเดือน มี.ค. ขยายตัว 1.4% YoY ยังห่างไกลจากเป้า 2% ค่อนข้างมาก) ซึ่งนาย Draghi ยังคงย้ำว่า ECB พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่เพื่อหนุนเศรษฐกิจและให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเข้าสู่เป้าหมายที่ 2%

ในการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ ยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเดิมตามที่ตลาดคาด ได้แก่ คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserves) บางส่วน, คงเป้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) ไว้ที่ “ประมาณ 0%” และคงอัตราเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี BOJ ยังคงย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและยาวจะคงอยู่ที่ระดับต่ำนี้ต่อไปอีกจนถึงกลางปี 2020 เป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ BOJ ยังได้ปรับเปลี่ยนมาตรการบางส่วนเล็กน้อยในเชิงเทคนิคเพื่อสนับสนุนให้สามารถใช้นโยบายที่ผ่อนคลายต่อไปได้ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจ BOJ ได้ออกประมาณการเงินเฟ้อไม่นับรวมอาหารสด (Core CPI) ของปีงบประมาณปี 2021 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 1.6% YoY ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% และปรับลดคาดการณ์ GDP ของปีงบประมาณ 2019 และ 2020 ลง -0.1ppt เป็น 0.8% YoY และ 0.9% YoY ตามลำดับ

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นประมาณ 9 พันล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวประมาณ 8.8 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และเป็นการถือครองลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยสรุปนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนเม.ย. คงเหลือ 9.29 แสนล้านบาท ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2018 ที่ 9.86 แสนล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก มีเพียงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2-5 Bps ส่วนการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยอายุ 14 วัน ถึง 6 เดือน อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากการประมูล มีทิศทางปรับขึ้นมาแตะระดับ 1.70% โดยในสัปดาห์สุดท้ายอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรุ่น 14 วันอยู่ที่ 1.7053%, 3 เดือนที่ 1.7085% และ 6 เดือนที่ 1.7658%

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

บลจ.ทาลิส จัดสัมมนาให้ความรู้ลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ขวา) และนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (ซ้าย) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด จัดงานสัมมนาให้กับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลในหัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนหลังการเลือกตั้ง” โดยได้รับเกียรติจากนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)(กลาง) ร่วมเสวนาให้ข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาและปี 2562 พร้อมพูดคุยถึงสถานการณ์ ทิศทางการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – มีนาคม 2562

ในเดือนนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายเงินของหลายประเทศสำคัญต่างเปลี่ยนมุมมองในการดำเนินนโยบายเป็นการผ่อนคลาย (Dovish) และปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจลง ดังเช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่มองเศรษฐกิจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกออกไป โดยอัตราดอกเบี้ย Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4% จะอยู่ที่ระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย นาย Mario Draghi ประธาน ECB กล่าวว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยุโรปจากปัจจัยก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ทั้งความเสี่ยงทางการเมือง ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้า และเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่อ่อนแอ ยังคงกดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยุโรปอย่างต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) นั้นยังมีจำกัด ภาพรวมเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ส่งผลให้ ECB ตัดสินใจออกโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับธนาคารพาณิชย์ (TLTRO3) ในการประชุมรอบนี้ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อและลดแรงกดดันด้านสภาพคล่องเนื่องจากเงินกู้ในโครงการ TLTRO2 ได้ใกล้ครบกำหนดชำระคืน โดยโครงการ TLTRO3 นี้จะดำเนินการตั้งแต่เดือนก.ย. 2019 จนถึงเดือนมี.ค. 2021 แบ่งเป็นไตรมาสละครั้ง (รวม 7 ครั้ง) ซึ่งแต่ละครั้งจะมีกำหนดชำระคืน (Maturity date) ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยอัตราดอกเบี้ยจะอิงตาม Main Refinancing rate ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 0.0%

ธนาคารกลางของสหรัฐ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% แต่มีท่าที Dovish มากกว่าที่คาด และยังคงย้ำว่าจะรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน รวมถึงเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดย Fed ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เป็น 2.1% ปี 2020 เป็น 1.9% แต่คงปี 2021 ไว้ที่ 1.8% ส่วนเงินเฟ้อ Fed คงคาดการณ์ Core PCE ของปี 2019-2021 ไว้ที่ 2.0% ด้านนโยบายงบดุล Fed กล่าวว่าจะยุติการปรับลดขนาดงบดุลลงในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ โดยจะเริ่มชะลอการลดพันธบัตรในเดือนพ.ค. นี้ นาย Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวว่านโยบายการเงินตอนนี้มีความเหมาะสมต่อสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และคณะกรรมการฯ เชื่อว่าควรที่จะรอประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน จึงอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะก่อนที่ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังระบุว่า ตอนนี้ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ สะท้อนว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน

ทางด้านนโยบายการเงินของไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ (7-0) ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี โดยคณะกรรมการ 2 ท่านที่โหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นโหวตให้คงอัตราดอกเบี้ย แม้ว่า กนง. จะยังคงมีมุมมองด้านบวกต่อการบริโภคภาคเอกชน แต่ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2019 ลงเหลือ +3.8% YoY (เทียบกับ +4.0% ครั้งก่อน) ตามการส่งออกที่ชะลอลงและการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเบิกจ่ายล่าช้า ทั้งนี้ ได้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าส่งออกลงเหลือ +3.0% YoY (เทียบกับ +3.8% ครั้งก่อน) ตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง วัฎจักรขาลงของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้มาตรการกีดดันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ กนง. ได้ปรับลดการลงทุนภาครัฐลงเหลือ +6.1% YoY (เทียบกับ +6.6% ครั้งก่อน) ด้านเสถียรภาพทางด้านราคา กนง. คงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปไว้ที่ +1.0% YoY แต่ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเป็น +0.8% YoY (เทียบกับ +0.9% ครั้งก่อน)

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 1.3 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาวประมาณ 8 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และเป็นการถือครองลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยสรุปนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนมี.ค. คงเหลือ 9.45 แสนล้านบาท ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2018 ที่ 9.86 แสนล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 1-5 bps ในขณะที่พันธบัตรระยะยาวของไทยได้รับผลกระทบจากการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจใหม่ที่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอลง จึงกดดันให้ธนาคารกลางหลายแห่งรวมทั้ง กนง. มีท่าทีเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินและอาจจะปรับไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินแทน ส่งผลให้ US Treasury อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ลดลงสู่แตะระดับ 2.39% ในช่วงปลายเดือน (เทียบกับสิ้นปี 2018 ที่ประมาณ 2.70%) จนเกิดภาวะ Inverted Yield Curve ในช่วงอายุพันธบัตร 1-6 เดือน เมื่อเทียบกับอายุ 10 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยปรับลดลงตาม โดยพันธบัตรรัฐบาลไทย อัตราผลตอบแทนในรุ่นอายุ 5 ปีขึ้นไปปรับลดลง 3-10 bps และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในรุ่นอายุ 10 ปีกลับมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าของสหรัฐฯ ในเดือนนี้อีกด้วย

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มีนาคม 2562

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลงเล็กน้อย -0.90% จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,610 – 1,650 จุด โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดค่อนข้างผันผวนในเดือนนี้ คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย ส่วนปัจจัยบวกจากต่างประเทศ ได้แก่ การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการชะลอการลดขนาดงบดุลของ FED

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงต้นเดือน จากระดับบริเวณ 1,655 ลงมาบริเวณ 1,620 ตลอดทั้งเดือน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการคือ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้จำนวนสส.แบบแบ่งเขตมากที่สุด และทางพรรคได้ออกมาประกาศว่าจะจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ในขณะที่เสียงสนับสนุนพรรคทั้งสองให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็มีความก่ำกึ่งกัน และ กกต.แถลงว่ามีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากกว่า 200 เรื่อง ทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีอยู่สูง แม้จะผ่านช่วงการเลือกตั้งมาแล้ว

สำหรับประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่สหรัฐฯ เลื่อนวันประกาศใช้อัตราภาษีที่เก็บเพิ่มจากสินค้าจากขึ้นจาก 10% เป็น 25% ออกไป และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจา โดยมีโอกาสสูงที่ทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ภายในสิ้นเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ การประชุม FOMC ในวันที่ 19 – 20 มีนาคม ที่ผ่านมา FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม และส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ (จากเดิมคาดขึ้น 2 ครั้ง) และคงมุมมองปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปี 2563 อีกทั้งยังส่งสัญญาณจะชะลอการปรับลดงบดุลในเดือนพฤษภาคม จาก 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เหลือ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และจะยุติการปรับลดงบดุลในเดือนกันยายน 2562 ซึ่งเป็นการสะท้อนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เป็นสัญญาณบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.43% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 15 เดือน และได้ปรับลดลงมาต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งทางเศรษฐศาสตร์เรียกภาวะนี้เรียกว่า “Inverted Yield Curve” ที่มักเกิดก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้เกิดความกังวลมากในหมู่นักลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง

ในฝั่งยุโรปนั้น วันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา รัฐสภาอังกฤษมีมติโหวตไม่ผ่านข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เป็นครั้งที่ 3 ทำให้นางเทเรเซ่า เมย์ ต้องกลับไปคุยกับ EU ในวันที่ 12 เมษายนนี้ เพื่อกำหนดข้อตกลงใหม่ แต่หากไม่สามารถเจรจากันได้ ก็มีความเสี่ยงสูงที่อังกฤษจะต้องออกจาก EU โดยไม่มีข้อตกลง (No Deal Brexit) ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อทั้งประเทศอังกฤษและ EU ที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนมีนาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,638.65 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,653.48 จุด หรือประมาณ -0.90% จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +6.2% กลุ่มการแพทย์ +3.2% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง +2.6% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -7.6% กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -3.5% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -3.1% ในเดือนมีนาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 16,397 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 5,719 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนนั้น คาดว่าจะมี Fund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ แม้ว่าอาจจะไม่มั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้จะอยู่ได้นานเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่ทางคสช. ได้ทำไว้ คือ การมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่แม้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ยังคงต้องเดินหน้าแผนปฏิบัติการที่ได้ระบุไว้ ได้แก่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่ยุค 4.0 เป็นต้น ดังนั้น แผนยุทธศาสตร์ชาตินี้น่าจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยยังเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า รวมถึงรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มที่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเร่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตดี และมีมูลค่าที่เหมาะสม