ภาวะตลาดหุ้นไทย – สิงหาคม 2562

ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -3.3% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 จากการปรับลดกำไรของบริษัทจดทะเบียน และแรงกดดันภายนอกเรื่องประเด็นสงครามการค้าที่รุนแรงขึ้น และการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม เป็นฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ซึ่งส่วนใหญ่ออกมาลดลงค่อนข้างมาก กำไรสุทธิรวมของตลาดอยู่ที่ 2.14 แสนล้านบาท ลดลง -17% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2018 และลดลง -21% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ในขณะที่มีกลุ่มธุรกิจที่ผลกำไรยังเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้น เช่น กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ล้วนมีกำไรสุทธิลดลง ส่วนหนึ่งมาจากการตั้งสำรองผลประโยชน์ของพนักงานเพิ่มขึ้นตามกฎหมายจาก 300 วันเป็น 400 วัน และอีกส่วนมาจากตัวธุรกิจหลักเอง เช่น การลดลงของราคาน้ำมันดิบและปิโตรเคมีทำให้เกิดขาดทุนจากสินค้าคงคลัง การขาดทุนค่าเงินของบริษัทในกลุ่มส่งออกจากเงินบาทที่แข็งค่า และการชะลอตัวลงของยอดโอนอสังหาริมทรัพย์หลังมีการใช้มาตรการ LTV เป็นต้น ทำให้นักวิเคราะห์ปรับลดการคาดการณ์กำไรสุทธิของตลาดในปีนี้ลง จากเดิม ประเมินกำไรต่อหุ้นของตลาดอยู่ที่ระดับ 104 บาท ลดลงมาอยู่บริเวณ 100 -101 บาท จึงทำให้อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 2019 ลดลงเหลือเพียง 2 - 3% เท่านั้น

และในวันที่ 19 สิงหาคม ได้มีการประกาศตัวเลขจีดีพีในไตรมาส 2 ของไทย ที่มีการเติบโตเพียง 2.3% ชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ที่เติบโต 2.8% คิดเป็นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกที่ 2.6% โดยภาคการส่งออกสินค้าและบริการหดตัว -6.1% จากปีที่แล้ว ผลผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรหดตัว ส่วนการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้จะยังเติบโตเป็นบวก แต่ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่แล้ว ทำให้สภาพัฒน์ฯปรับลดประมาณการการเติบโตของจีดีพีลงอีกครั้ง จาก 3.3 - 3.8% มาอยู่ที่ 2.7 - 3.2%

ยิ่งไปกว่านั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้า โดยประธานาธิบดีทรัมป์ เตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญ ในอัตรา 15% โดยแบ่งเป็น 1.3 แสนล้านเหรียญ มีผลบังคับในวันที่ 1 กันยายน และอีก 1.6 แสนล้านเหรียญให้มีผลบังคับในวันที่ 15 ธันวาคม ในขณะที่ทางจีนจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยมีมูลค่า 7.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร ในอัตรา 5 – 10% โดยแบ่งออกเป็นสองส่วน มีผลบังคับในวันที่ 1 กันยายน และ 15 ธันวาคม เช่นเดียวกัน ซึ่งการตอบโต้ระหว่างกันดังกล่าว ส่งผลกระทบเป็นลบต่อทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่กระทบทั้งผู้บริโภคที่ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น และเกษตรกรที่ส่งออกผลผลิตไปยังจีนได้ลดน้อยลง

SET Index ปรับตัวลดลงจากปัจจัยข้างต้น ลงสู่ระดับต่ำสุดของเดือนที่ 1,590 จุด และค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางในหลาย ๆ ประเทศ ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2019 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.0 - 2.25% ส่วนประเทศจีนนั้น ธนาคารกลางจีนผ่อนคลายนโยบายการเงินเช่นกัน โดยการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อ้างอิงจาก 4.35% ลงเหลือ 4.25% ในฝั่งยุโรป รัฐบาลเยอรมันมีการประกาศพร้อมใช้วงเงิน 55 พันล้านยูโรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นต้น สำหรับประเทศไทยนั้น เพียง 1 สัปดาห์หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดอัตราดอกเบี้ย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เช่นกัน ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยที่อยู่เหนือความคาดหมาย ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ประกอบกับในวันที่ 16 สิงหาคม รัฐบาลได้มีการเสนอมาตรการกระตุ้นอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยแล้งโดยการปล่อยสินเชื่อฉุกเฉิน มาตรการส่งเสริมการปล่อยสินเชื่อ SME มาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน เช่น การแจกเงินเพื่อการท่องเที่ยวจังหวัดที่ตัวเองไม่ได้อยู่ การเพิ่มวงเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น คิดเป็นวงเงิน 3.16 แสนล้านบาทที่พร้อมอัดฉีดเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ หลังจากนี้ไป คาดว่าเมื่อมาตรการทางการเงินและการคลังของแต่ละประเทศเริ่มทำงาน เศรษฐกิจน่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นได้ และ SET Index น่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำและยังมีแนวโน้มปรับลดลงได้อีก ค่าพีอีที่เหมาะสมของตลาดหุ้นมักจะสูงขึ้น ค่าพีอีของ SET Index น่าจะยืนอยู่บริเวณ 16 -17 เท่าได้ในปีนี้และปีหน้า จากค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 15.3 เท่า ซึ่งคิดเป็นระดับดัชนีที่ 1,600 – 1,700 จุด และการที่ SET Index ปรับตัวลงค่อนข้างแรงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ในระยะสั้นน่าจะเห็นการรีบาวด์ของดัชนีได้ และในระยะกลาง หากกำไรสุทธิของตลาดไม่มีการถูกปรับลดลงอย่างรุนแรง ตลาดหุ้นน่าจะยังปรับตัวขึ้นได้ต่อไป

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนสิงหาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,654.92 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,711.97 จุด หรือประมาณ -3.3% จากสิ้นเดือนกรกฎาคม 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร +4.5% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +1.1% และกลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร -1.3%ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -15.2% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -10.8% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ -8.3% ในเดือนสิงหาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 54,274 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 35,596 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – สิงหาคม 2562

ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กล่าวในการประชุมประจำปีของ Fed ที่ Jackson Hole ในวันศุกร์ที่ 23 ส.ค.ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้ดี จากการบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานและค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการลงทุนภาคเอกชนและภาคการผลิตที่อ่อนแอ และย้ำว่าจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว ขณะที่ยอมรับว่าการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงและปัจจัยอื่น ๆ กำลังฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า นโยบายการเงินแม้ว่าจะหนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค การลงทุนภาคเอกชนและเพิ่มความเชื่อมั่น แต่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการค้าระหว่างประเทศได้ โดย Fed ทำได้เพียงประเมินสถานการณ์และผลกระทบต่อมุมมองเศรษฐกิจ และปรับเปลี่ยนโยบายให้มีความเหมาะสมเท่านั้นเพื่อหนุนให้ตลาดแรงงานและเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย

ทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ประกาศในเดือนนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2019 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ที่ 2.3% YoY อัตราการขยายตัวดังกล่าวเท่ากับที่ตลาดคาดไว้ และเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2014 ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน GDP ขยายตัว 0.6% QoQ sa* ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.7% QoQ sa และน้อยกว่าไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 1.0% QoQ sa นอกจากนี้ สศช. ยังลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ลงจากประมาณการเดิม 3.3%-3.8% เหลือเพียง 2.7%-3.2%

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ระดับ 1.50% นับเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบมากกว่า 4 ปี ซึ่งผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ภายหลังจากที่มีมติขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา โดยกนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจของไทยโดยรวมมีแนวโน้มอ่อนแอมากกว่าที่คาด ปัจจัยสำคัญคือ ผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลให้การส่งออกของไทยหดตัวต่อเนื่อง และเริ่มส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ รายได้ของครัวเรือนนอกภาคเกษตรและการจ้างงานลดลง สินเชื่อเพื่อธุรกิจและครัวเรือนชะลอลง โดยเฉพาะเมื่อนโยบายกีดกันการค้ารุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น การลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ แถลงข่าวบ่งชี้ว่า กนง. มีแนวโน้มคงดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันไปอีกระยะหนึ่ง ร่วมกับการใช้มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Micro prudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macro prudential) มากขึ้น ทั้งนี้ คณะกรรมการอีก 2 ท่านมองว่าการลดดอกเบี้ยในช่วงที่นโยบายการเงินผ่อนคลายอยู่แล้วอาจไม่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจเท่าที่ควร และยังคงให้ความสำคัญของการสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy space) มากกว่า

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ โดยรวมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงทั้งระยะสั้นและระยะยาว 24-54 Bps พันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงตามการปรับลดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่พันธบัตรระยะยาวปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนที่เกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนรุนแรงขึ้น หลังจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้สหรัฐฯ และทางสหรัฐฯ ก็ประกาศตอบโต้จีนด้วยการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจีนในกลุ่มที่ถูกปรับขึ้นภาษีไปแล้ว จนทำให้เกิดภาวะ Inverted Yield Curve ระหว่าง US Treasury อายุ 2 ปีและ 10 ปี ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงวันที่ 20 ส.ค. มีการปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากการที่ผู้ลงทุนประเภทกองทุนรวมได้เริ่มเสียภาษีของการลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากนี้ ในเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิประมาณ 3.46 หมื่นล้าน และเป็นการขายสุทธิต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า แบ่งเป็นการขายสุทธิทั้งพันธบัตรระยะสั้นและพันธบัตรระยะยาวประมาณ 2.1 หมื่นล้าน และ 1.1 หมื่นล้าน ตามลำดับ เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดอายุแล้วคงเหลือยอดรวมถือครองสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ 9.39 แสนล้านบาท ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 2018 ที่ถือครองจำนวน 9.86 แสนล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

หมายเหตุ:
* QoQ sa (Quarter on Quarter Seasonally Adjusted) เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงที่ปรับผลกระทบจากปัจจัยฤดูกาลออกแล้ว

ภาวะตลาดหุ้นไทย – กรกฎาคม 2562

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -1.1% จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2562 เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยบวกใหม่ และมีปัจจัยกดดันตลาด ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินบาท การลดดอกเบี้ยของเฟดที่อาจจะน้อยกว่าที่คาด และความเสี่ยงของ Brexit เป็นต้น

หลังจากที่ SET Index ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนมาอยู่บริเวณ 1,730 – 1,740 จุดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ตลาดเริ่มแกว่งตัวออกข้างในกรอบแคบ ในขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จนมาอยู่ที่ระดับ 30.7 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่านั้นมาจากรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น Fund Flow ที่เข้ามาในตลาดหุ้น ความแข็งแกร่งของดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเฟดมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งการที่เงินบาทแข็งค่าค่อนข้างมากในเวลาอันสั้น ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศไทยเท่าไรนัก เนื่องจากประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาการส่งออกสูง ทำให้ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศมาตรการเฝ้าระวังเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท และเพิ่มความเข้มงวดในการรายงานข้อมูลการลงทุนในตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงในวันเดียวกันประมาณ -0.7% ไปอยู่ที่ระดับประมาณ 30.9 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับฐานของ SET Index

ถัดมาในช่วงกลางเดือน เป็นช่วงการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่กำไรของทั้งกลุ่มรวมกันยังติดลบประมาณ -3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว จากการลดลงของรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยธนาคารขนาดใหญ่มีการเติบโตของสินเชื่อที่ค่อนข้างต่ำ ในขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณการก่อตัวของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เพิ่มมากขึ้น ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ KBANK และ BBL เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากการเติบโตของสินเชื่อและการลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญ

ตลาดยังปรับลดลงต่อเนื่องไปจนถึงช่วงปลายเดือน ทั้งตลาดหุ้นไทยและตลาดทั่วโลก จากความผิดหวังที่ Fed ส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยว่าอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างที่นักลงทุนคาดหวัง กอปรกับทางฝั่งอังกฤษเอง นาย Borris Johnson ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ และได้เป็นนายกรัฐมนตรีของอังกฤษโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่อังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปแบบไร้ข้อตกลงมากขึ้น เนื่องจากนาย Borris Johnson สนับสนุนและพร้อมเดินหน้า Brexit ตามเส้นตายในวันที่ 31 ตุลาคม 2562

ในช่วงปลายเดือน ประเด็นบวกทางการเมืองช่วยพยุงตลาดหุ้นเอาไว้ได้ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชาได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เน้นที่การบริโภค การท่องเที่ยว และการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย แต่ยังไม่มีนโยบายลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันประกาศออกมา

และในวันสุดท้ายของเดือนกรกฎาคม การประชุม FOMC ของเฟดก็มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาสู่ระดับ 2.0-2.25% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 11 ปีตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ตลาดปรับตัวลงจากการ Sell on fact นั่นเอง

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,711.97 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,730.34 จุด หรือประมาณ -1.1% จากสิ้นเดือนมิถุนายน 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +6.5% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +4.8% และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร +1.9% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -12.9% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -7.7% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -4.6% ในเดือนมิถุนายนนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 20,054 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 26,565 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กรกฎาคม 2562

ในเดือนนี้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของหลายประเทศสำคัญ เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนโยบายการเงิน โดยคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ 0.0% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ 0.25% อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ -0.40% และคงขนาดงบดุลของธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม ECB ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยส่งสัญญาณถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าว่า จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับปัจจุบันหรือลดระดับของอัตราดอกเบี้ยลงไปอย่างน้อยถึงช่วงกลางปี 2020 นอกจากนี้ ยังได้ทบทวนความเป็นไปได้ที่จะนำมาตรการซื้อสินทรัพย์ (Quantitative Easing – QE) กลับมาใช้ ทางด้านเศรษฐกิจ ได้ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอ่อนแอลง แม้ว่าการจ้างงานและอัตราค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้นยังสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา แต่แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้ายังถูกกดดันจากวัฏจักรการค้าโลกซึ่งอยู่ในขาลง โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ และนโยบายกีดกันทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะผู้ประกอบกอบการในภาคอุตสาหกรรม นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันและอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่อง

ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติ 7 ต่อ 2 ให้คงมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมนโยบายการเงิน และส่งสัญญาณการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยมีสาระสำคัญ คือ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% และควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ใกล้ระดับ 0% รวมทั้งคงปริมาณมาตรการการซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นที่ 80 ล้านล้านเยนต่อไป คง Forward guidance ว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ในระดับต่ำอย่างน้อยไปจนถึงช่วงไตรมาส 2 ของปี 2020 และส่งสัญญาณว่า BOJ พร้อมที่จะดำเนินมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม หากแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะเข้าสู่เป้าหมายนั้นมีความเป็นไปได้ลดน้อยลง

ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 2.00%-2.25% โดยเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ด้วยมติ 8 ต่อ 2 ตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดหมายไว้ นอกจากนี้ยังยุติมาตรการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening – QT) ในเดือนสิงหาคมซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิม 2 เดือน นายเจอโรม โพเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการปรับนโยบายในช่วงกลางของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น (Mid-cycle Adjustment) จึงมิใช่เป็นจุดเริ่มต้นของวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงยาวนาน แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเช่นกัน การลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จึงถือเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงภายนอกประเทศ อาทิ สงครามการค้าและการชะลอลงของเศรฐกิจโลก ที่อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังอยู่ในภาวะแข็งแรง รวมทั้งความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ต่ำ นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวได้อย่างแข็งแรงโดยเฉพาะในตลาดแรงงานของสหรัฐฯ การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตราการว่างงานลดลงมาอยู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี และค่าจ้างแรงงานปรับสูงขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานรายได้ต่ำ ขณะที่ยังคงเน้นย้ำว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่สำคัญนั้นมาจากปัจจัยต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการผลิตและการลงทุนภาคธุรกิจ สรุปได้ว่า ถ้อยแถลงของเฟดที่ยังมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวได้ดีทำให้แนวโน้มนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ในระยะต่อไปมีความไม่แน่นอน แม้ความเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าจะยังกดดันภาวะตลาดการเงินของโลก แต่ประเมินว่าการตัดสินใจนโยบายของเฟดในระยะต่อไปน่าจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ

ทางด้านเศรษฐกิจของไทย ธนาคารโลก (World Bank) คาดการณ์ในปีนี้จะขยายตัว 3.5% จากระดับเติบโต 4.1% ในปี 2018 (และเทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 3.8%) เป็นผลจากจีดีพีไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่ำกว่าระดับ 3% จากการลดลงของการลงทุนภาครัฐ และผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศที่กดดันกิจกรรมเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังประเมินว่าความไม่แน่นอนของภาวะการเมืองที่ยืดเยื้อ นับว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ซึ่งจะทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นและส่งผลให้เกิดความล่าช้าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่วนประเด็นความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน จะทำให้ความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยอ่อนแอลงต่อเนื่อง และกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชนในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมส่งออก

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศกลับมาขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นประมาณ 4.23 หมื่นล้าน คาดว่าเป็นผลจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท โดยให้สถาบันการเงินคุมบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศและปรับปรุงเงื่อนไขการรายงานยอดคงค้างการถือครองตราสารหนี้ที่ออกในประเทศไทยของผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างประเทศยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวประมาณ 1.72 หมื่นล้าน เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนด ทำให้ยอดการถือครองในเดือนก.ค. ลดลงประมาณ 2.55 หมื่นล้านบาท ส่วนความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนนี้มีทิศทางแตกต่างไปจากตลาดสหรัฐฯ ที่อัตราผลตอบแทนกลับมาปรับตัวขึ้นจากความไม่แน่นอนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงลดลงต่อโดยเฉพาะพันธบัตรอายุมากกว่า 10 ปี จากการคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและแรงซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติ

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – มิถุนายน 2562

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินเดิมตามคาด เนื่องจากยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย ประกอบกับเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ทำให้ ECB ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกออกไปอีก จากเดิมที่กล่าวว่าอัตราดอกเบี้ย (Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4%) จะคงอยู่ที่ระดับต่ำไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อยเป็นกลางปีหน้าเป็นอย่างน้อย โดยในการประชุมรอบนี้ ECB ได้ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ขึ้นเล็กน้อย +0.1% เป็น 1.2% YoY จาก GDP ไตรมาส 1 ที่ออกมาดีกว่าคาด และปรับเงินเฟ้อปีนี้ขึ้นเล็กน้อย +0.1% เป็น 1.3% YoY แต่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2020 ลง -0.2% เป็น 1.4% YoY และปรับเงินเฟ้อของปี 2020 ลง -0.1% เป็น 1.4% YoY สะท้อนโมเมนตัมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงต่อ นาย Mario Draghi ประธาน ECB ระบุว่า ECB พร้อมใช้เครื่องมือที่มีเพื่อช่วยหนุนเศรษฐกิจ หากชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดจากความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ทั้งการเจรจา Brexit และนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ โดยนาย Draghi ระบุว่าคณะกรรมการได้มีการพูดถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมรวมถึงการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือทำ QE อีกครั้ง

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติ 9-1 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25-2.50% ตามที่คาด นาย Jerome Powell ประธาน Fed ระบุว่าคณะกรรมการ Fed พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีต่อไป และคณะกรรมการ Fed หลายท่านมองความจำเป็นที่จะต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินมีมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่สูงโดยเฉพาะจากการเจรจาการค้า ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อได้อ่อนแอลง โดย Fed ได้นำคำว่า “จะอดทนรอเพื่อประเมินสถานการณ์” ออกจากแถลงการณ์การประชุมรอบนี้ สะท้อนว่า Fed พร้อมที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงในระยะใกล้ทันทีหากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อมีแนวโน้มอ่อนแอลงกว่าที่คาด นอกจากนี้ยังได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ Core PCE ปีนี้ (-0.2% เป็น 1.8%) และปีหน้า (-0.1% เป็น 1.9%) ลงจากประมาณการครั้งก่อนในเดือนมี.ค. ขณะที่คงคาดการณ์ GDP ปีนี้ไว้ที่ 2.1% และปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีหน้าขึ้นเล็กน้อย +0.1% เป็น 2.0% อย่างไรก็ดี มีคณะกรรมการ Fed จำนวน 8 จากทั้งหมด 17 ท่านที่มองว่าควรปรับลดดอกเบี้ยลงในปีนี้เลย ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสเพิ่มขึ้นที่จะลดดอกเบี้ยลงในปีนี้

ธนาคารกลางอังกฤษมีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามคาด โดยมองความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง และแรงกดดันเงินเฟ้ออ่อนแอ อย่างไรก็ดีหากอังกฤษแยกตัวออกจาก EU ไปแบบราบรื่น ก็จะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า BoE ระบุสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งแม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจทางตรงจะมีจำกัด แต่ผลกระทบทางอ้อมจากความเชื่อมั่นและสภาวะทางเงินนั้นน่ากังวล ขณะที่การเจรจา Brexit มีความไม่แน่นอนสูง โดยโอกาสที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU แบบไร้ข้อตกลง (No Deal) ได้มีสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ที่มีมติ 7-2 คงนโยบายผ่อนคลายการเงินเดิมตามที่คาด ได้แก่ คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserves) บางส่วน คงเป้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) ไว้ที่ “ประมาณ 0%” และเคลื่อนไหวในกรอบ +/- 0.2% คงอัตราการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี นอกจากนี้ BoJ ยังย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงอยู่ที่ระดับต่ำยาวไปจนถึงกลางปี 2020 เป็นอย่างน้อย

ทางด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ตามคาด กนง. เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการส่งออกสินค้าและบริการเป็นสำคัญ และแสดงความกังวลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระยะสั้นซึ่งไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ในการประชุมรอบนี้ กนง. ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2019 ลงเป็นครั้งที่สามเหลือ +3.3%YoY (จาก +3.8% ในเดือนมี.ค.และ +4.0% ในเดือนธ.ค.) ตามการส่งออกที่อ่อนแรงและการลงทุนภาครัฐที่ล่าช้า อย่างไรก็ดี กนง. ยังมองว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2020 ทั้งนี้ กนง. ยังคงมีความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อรถยนต์ โดยระบุว่าเสถียรภาพระบบการเงินยังจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลด้วยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสม มาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Microprudential) และมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macroprudential) ที่จะให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

ทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่สองที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทย แบ่งเป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 3.8 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 3.4 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการซื้อสุทธิ 5.4 หมื่นล้านบาท หรือถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย 9.84 แสนล้านบาท ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนนี้ยังคงได้รับอิทธิพลจากการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องของ US Treasury Yield จากความกังวลสงครามการค้าและความผันผวนของตลาดหุ้น โดยทางฝั่งสหรัฐฯ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงมา 0.08%-0.29 % ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุไม่เกิน 1 ปีปรับลดลงเล็กน้อย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวอายุ 3 ปีขึ้นไปปรับลดลงตามตลาดต่างประเทศ 0.10%-0.30 %

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ