SET Index เดือนเมษายน ปิดที่ระดับ 1,529.12 จุด (-4.97% จากเดือนมีนาคม) ปัจจัยภายในหลักมาจากการปรับตัวลดลงของราคาหุ้น DELTA หลังจากบริษัทรายงานผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาด การรอดูผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง การลดการลงทุนของนักลงทุนในประเทศเนื่องจากเทศกาลวันหยุดยาว และปัญหาผลกระทบจากหุ้น STARK ที่ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจในหุ้นขนาดกลาง ขนาดเล็ก ส่วนปัจจัยภายนอกก็ยังคงเป็นเรื่องความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอเมริกาที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันนักลงทุน
สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกนั้นประกอบไปด้วย ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยของอเมริกา หลังจากรายงานตัวเลขภาคการบริโภคออกมาอ่อนตัว โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CCI เดือนเมษายนพลิกกลับมาลดลง -2.6% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน สะท้อนถึงสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารในอเมริกายังกลับมาอีกครั้ง หลังจาก First Republic Bank รายงานฐานเงินฝากช่วง 1Q23 ลดลงกว่า 40% สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงในธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก
สำหรับภายในประเทศ ปัจจัยลบเริ่มจากการประกาศผลการดำเนินงานของ DELTA ที่รายงานผลกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาด ที่ถึงแม้จะเห็นกำไรสุทธิเติบโตถึง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่เริ่มเห็นการหดตัวที่ 14% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นการชะลอตัวของกลุ่มธุรกิจ Data Center โดยผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ประมาณ 10% ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลงกว่า 36% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ปัจจัยลบถัดมาคือเรื่องของการเลือกตั้ง หลังจากผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค ซึ่งอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและความต่อเนื่องในการบริหารงาน ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของไทยในช่วงกลางเดือนเมษายนและต้นเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนยังเลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ออกไปก่อน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาของ STARK ที่คณะกรรมการบริษัทลาออกทั้งหมดและมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่เข้ามาแทน ในขณะที่บริษัทยังไม่สามารถส่งงบการเงินประจำปี 2565 ได้เนื่องจากการสอบทานของผู้สอบบัญชียังไม่แล้วเสร็จ ทำให้นักลงทุนบางส่วนมากังวลกับหุ้นขนาดกลางขนาดเล็กที่ราคาปรับตัวลงมากว่าจะมีปัญหาเหมือน STARK หรือไม่ จึงมีการขายหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กออกมา ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการไตรมาสแรกของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ จาก NIM ที่ขยายตัว และมีกำไรจากเครื่องมือทางการเงินและรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ดีขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มการแพทย์เป็นอีกกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเข้ามา จากการที่คณะกรรมการสำนักงานประกันสังคมมีมติเห็นชอบขึ้นอัตราค่าบริการเหมาจ่ายแก่สถานพยาบาลคู่สัญญา
สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มธนาคาร +3.6% และกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ +0.6% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนน้อยที่สุด คือกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -34.1% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -9.3% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -8.4% โดยปริมาณการซื้อขายในเดือนเมษายนนั้นค่อนข้างเบาบาง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 7.9 พันล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 7.6 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.5 พันล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.8 พันล้านบาท
สำหรับมุมมองในการลงทุนในไตรมาสสองของปี 2566 เราคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีแนวโน้มที่ดีจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและเม็ดเงินจากการเลือกตั้ง เราคาดว่าหลังจากเห็นความชัดเจนจากการเลือกตั้งแล้ว หากประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวดีขึ้นได้