อัพเดทข่าวสาร

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กันยายน 2566

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% โดยประธาน ECB เผยว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่เห็นชอบกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ ขณะที่ส่วนที่เหลือเห็นชอบให้คงอัตราดอกเบี้ย ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Facility) ขึ้นไปอยู่ที่ 4.00% อัตราดอกเบี้ย Main Refinancing Operations ไปอยู่ที่ 4.50% และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal Lending Facility) ขึ้นมาอยู่ที่ 4.75% พร้อมทำตามแผนเดิมของการลดขนาดงบดุลที่เคยประกาศไว้ ECB ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2023 ลงเหลือ 0.7%YoY จาก 0.9%YoY และปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2024 ลงเหลือ 1.0%YoY จาก 1.5%YoY นอกจากนี้ ECB ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสำหรับปี 2023 และ 2024 ขึ้นมาอยู่ที่ 5.6%YoY และ 3.2%YoY จากที่คาดไว้เดิมที่ 5.4%YoY และ 3.0%YoY ตามลำดับในเดือนมิถุนายน จากปัจจัยด้านราคาพลังงานที่สูงขึ้นเป็นหลัก แต่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2024 – 2025 เนื่องจากผลของการขึ้นดอกเบี้ยจะยังถูกส่งผ่านไปยังเศรษฐกิจทำให้เงื่อนไขทางการเงินจะเข้มงวดมากขึ้นและอุปสงค์รวมถึงการปล่อยสินเชื่อปรับลดลงต่อเนื่อง ECB ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเพียงพอแล้ว

FED มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาด โดย FED ยังคงแสดงความกังวลต่อเงินเฟ้อที่อาจใช้ระยะเวลากว่าจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% พร้อมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่ง แม้ตลาดแรงงานตลาดแรงงานจะชะลอลงบางส่วน แต่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี นอกจากนี้ ยังคงแผนการลดงบดุล (QT) ต่อเนื่องตามเดิมที่ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ทั้งนี้ FED ส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานต่อเนื่องสะท้อนผ่าน Dot Plots ที่แม้จะคงคาดการณ์ดอกเบี้ยไว้ที่ 5.625% ในปีนี้ แต่มีการปรับคาดการณ์ดอกเบี้ยในปี 2024 และ 2025 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 5.125% และ 3.875% จากคาดการณ์ในเดือนมิถุนายนที่ 4.625% และ 3.375% ตามลำดับ FED มีมุมองที่ดีขึ้นต่อทั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเงินเฟ้อในปีนี้และปีหน้า โดยปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้และปีหน้าดีขึ้นมาก เป็น 2.1% และ 1.5% จาก 1.0% และ 1.1% ตามลำดับ และคาดการณ์อัตราการว่างงาน ลดลงเหลือ 3.8% ในปีนี้จากเดิมที่ 4.1% และสำหรับมุมมองเงินเฟ้อ FED มองเงินเฟ้อจากดัชนีรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลสหรัฐฯ (PCE) เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานลงเหลือ 3.7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.9%

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 5-4 ในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25% สวนทางกับตลาดที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น +0.25% เป็น 5.50% แถลงการณ์ได้ระบุว่ายังคงมีความกดดันของเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งด้านตลาดเเรงงานที่ยังตึงตัว อัตราการเติบโตของค่าจ้างที่ยังไม่ชะลอตัวลง และเงินเฟ้อภาคบริการที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งการดำเนินโยบายการเงินของ BOE นั้นต้องเข้มงวดเเละใช้ระยะเวลาที่เพียงพอจึงจะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาสู่เป้าที่ 2% อย่างยั่งยืน ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ส.ค. ชะลอตัวลงเป็น 6.7% YoY จาก 6.8% ในเดือนก่อน ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2022 เและต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อยที่ 7.0% ทั้งนี้ เงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายอยู่มาก ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงเป็น 6.2% YoY จาก 6.9% ในเดือนก่อน

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายการเงินผ่อนคลายตามเดิมต่อไป โดยมีมติเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserve) เเละคงเป้าหมายอัตราผลตอบเเทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control: YCC) ไว้ที่ประมาณ “0%” เเละกรอบการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี (Yield Curve Control: ไว้ที่ -1.0 ถึง +1.0 ในถ้อยเเถลงได้ระบุถึงการที่อัตราเงินเฟ้อ Core CPI มีการชะลอตัวลงจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากเเรงหนุนของมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในด้านพลังงาน เเละมองว่าอัตราเงินเฟ้อ Core CPI จะชะลอตัวลงในระยะข้างหน้าจากผลของการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคที่ลดลง ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากนั้น จากเเรงหนุนของค่าจ้าง การคาดการณ์เงินเฟ้อ เเละเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย +25bps สู่ระดับ 2.50% เพื่อให้มั่นใจว่าขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) มีเพียงพอภายใต้แนวโน้มที่ไม่แน่นอน แม้ว่า กนง. ได้มีการลดคาดการณ์ส่งออก GDP และเงินเฟ้อในปีนี้ลง โดยมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวแตกต่างไปจากที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่สำคัญไปกว่านั้น กนง. ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับเหมาะสม” ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยดอกเบี้ยได้สู่ระดับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด (Terminal Rate) แล้วภายใต้การประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปัจจุบัน

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นตลอดทุกช่วงอายุ 24-45Bps จากความกังวลปริมาณพันธบัตรออกใหม่ของสำนักบริหารหนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2567 ซึ่งเป็นไปตามแผนงบการคลังระยะปานกลาง และภายใต้การบริหารของรัฐบาลใหม่ที่เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางอ่อนประมาณ 5% ในเดือนนี้ จากการส่งสัญญาณของ FED ว่าจะยังคงดำเนินนโยบายในทิศทางเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง และการอ่อนค่าลงของเงินหยวนภายหลังเศรษฐกิจจีนขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ในเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 1.2 หมื่นล้านบาท ขายสุทธิพันธบัตรระยะยาว 1 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรลดลงประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยสรุปยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ประมาณ 9.4 แสนล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 1.4 แสนล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – สิงหาคม 2566

SET Index ในเดือนสิงหาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,565.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.63% จากเดือนก่อน โดยปัจจัยภายนอกกดดันในช่วงต้นเดือน แต่ปัจจัยภายในเรื่องการเมืองได้มาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวในช่วงครึ่งเดือนหลัง

สำหรับปัจจัยกดดันจากภายนอก ได้แก่ การที่ Fitch Ratings ปรับลด Credit Rating สหรัฐฯลง 1 notch ไปอยู่ที่ AA+ สร้างความกังวลว่าจะส่งผลให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยง นอกจากนี้ ตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศจีนที่ถูกประกาศออกมาก็อ่อนแอกว่าคาด และประเทศจีนยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจาก Country Garden ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของจีน ได้ผิดนัดชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนมองว่าประชาชนชาวจีนจะยังหลีกเลี่ยงการจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงการออกมาท่องเที่ยว เนื่องจากมีความกังวลในความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

สำหรับปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศ คือ ประเด็นการเมืองที่มีความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล โดย นายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับคะแนนเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี เกินกึ่งหนึ่งจากการประชุมสภาฯ ประกอบกับความชัดเจนของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากสภาวะสุญญากาศทางการเมือง และเริ่มคาดหวังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิเช่น การแจกเงินหนึ่งหมื่นบาทผ่าน Digital Wallet และมาตรการ Free Visa สนับสนุนภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น

สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +10.9% กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง +9.2% และกลุ่มยานยนต์ +6.6% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -8.6% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -6.4% และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -2.3% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนสิงหาคมนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1.5 หมื่นล้าน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.2 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.4 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.9 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน โดยเรามีความหวังว่าหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ จากภาครัฐ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่อไป โดยเรามองว่ามาตรการ Free Visa ที่จะช่วยลดความยุ่งยากให้แก่นักท่องเที่ยวจีนจะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวได้ในช่วงฤดูการท่องเที่ยวของปีนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังคงติดตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะปัญหาของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะลุกลามไปยังภาคส่วนอื่น ๆ นอกจากนี้ หากเมื่อมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศได้

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – สิงหาคม 2566

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 6-3 ปรับดอกเบี้ยขึ้นในอัตรา 25Bps สู่ระดับ 5.25% ตามคาดการณ์ โดยนับเป็นการปรับขึ้นในอัตราที่ลดลงจากการประชุมครั้งก่อนที่มีมติปรับขึ้นในอัตราสูง 50Bps โดยในการประชุมรอบนี้มีคณะกรรมการ 2 ท่านที่มองว่าควรปรับดอกเบี้ยขึ้นในอัตราสูง และมีคณะกรรมการ 1 ท่านที่มองว่าควรคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม สะท้อนถึงแนวโน้มของดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นและอาจเข้าใกล้จุดจบของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในวัฏจักรนี้ ด้านเศรษฐกิจ BOE ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้ขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.5% (vs.

ภาวะตลาดหุ้นไทย – กรกฎาคม 2566

SET Index ในเดือนกรกฎาคม 2566 ปิดที่ระดับ 1,556.06 จุด เพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อน โดยดัชนีได้ฟื้นตัวขึ้นหลังจากมีการปรับตัวลงแรงในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ของ SET Index อยู่ที่ -6.7%

สำหรับปัจจัยหลักภายนอก ได้แก่ การกลับมาเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งจากการที่ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันและรัสเซียประกาศลดการส่งออกน้ำมันในช่วงต้นเดือน การที่นักลงทุนคาดหวังว่าอุปสงค์น้ำมันโลกในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้นหลังทางการจีนประกาศเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการคาดหวังว่า FED จะหยุดวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้ผลักดันให้ราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจน้ำมันปรับขึ้นตามด้วย ส่วนราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นได้แรงหนุนจากส่วนต่างค่าการกลั่นในตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คือ การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และประกาศส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทำให้แม้ว่าจะยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ความกังวลต่อนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ไม่เอื้อต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯก็เบาบางลง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ามีการปรับตัวขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันจากนโยบายพรรคก้าวไกลมากที่สุด

สรุปในเดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 21.2% จากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้น DELTA ซึ่งรายงานกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ดีกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้มาก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง 7.5% และกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 5.2% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต -4.2% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -3.3% และกลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -3.3% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 1.3 หมื่นล้านบาท นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.4 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 0.3 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.6 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคภาคเอกชน ในขณะที่การส่งออกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก โดยเราได้เห็นสัญญาณบวกจากการที่การส่งออกพลิกกลับเติบโตในเดือนกรกฎาคม เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นกับการท่องเที่ยวที่แม้ว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวจะมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดี แต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนยังช้าตามเศรษฐกิจประเทศจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนถือว่าเป็นกลุ่มที่มีอัตราใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ทำให้เมื่อสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนลดลง รายได้จากการท่องเที่ยวอาจจะต่ำกว่าในอดีตที่ผ่านมาแม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวก็ตาม

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กรกฎาคม 2566

FED มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) อีก 25Bps สู่ระดับ 5.25-5.50% และยังคงแผนลดการถือครองตราสารหนี้ อันได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนองหรือ MBS เช่นเดิม โดยภาพรวมถ้อยแถลงหลังการประชุมแทบไม่แตกต่างจากการประชุมเมื่อครั้งก่อนในเดือนมิ.ย. กล่าวคือยังมองภาพการจ้างงานที่แข็งแกร่งและอัตราการว่างงานในระดับต่ำ ขณะที่ยังมองกิจกรรมเศรษฐกิจขยายตัว ด้านเงินเฟ้อมองว่าเติบโตในระดับสูง สำหรับระบบธนาคารสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น ทั้งนี้ นโยบายการเงินในระยะข้างหน้านั้น FED ยังคงเน้นย้ำว่าขึ้นอยู่กับ 1) การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้ว 2) ความล่าช้าของระยะเวลาที่นโยบายการเงินจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมเศรษฐกิจและเงินเฟ้อและ 3) พัฒนาการเศรษฐกิจและการเงิน

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับดอกเบี้ยขึ้น 25Bps ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Main Refinancing Operations, Marginal Lending Facility และ Deposit Facility Rates สู่ระดับ 4.25%, 4.50% และ 3.75% ตามลำดับ จากความกังวลที่มีต่อเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงเกินไปและยาวนานเกินไป ECB มองว่าแม้เงินเฟ้อได้ชะลอตัวลงต่อเนื่องแต่ยังถูกคาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่เหนือเป้าหมายกินระยะเวลานาน โดย ECB ยังคงยึดหลักของการพิจารณาข้อมูลในอนาคตที่จะเข้ามา เพื่อกำหนดระดับและระยะเวลาความเข้มงวดของนโยบายที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะประเมินจากแนวโน้มเงินเฟ้อที่ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจและการเงิน พลวัตรของพื้นฐานเงินเฟ้อที่แท้จริง และความแข็งแรงในการส่งผ่านของนโยบายการเงิน ทั้งนี้ประธาน ECB ได้กล่าวถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยว่า ความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นหรือหยุด จะขึ้นอยู่กับการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2%

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ เเละมีมติด้วยคะเเนนเสียงข้างมากให้คงเป้าหมายอัตราผลตอบเเทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control: YCC) ไว้ที่ประมาณ “0%” เเละเคลื่อนไหวในกรอบอ้างอิง +/-0.5% โดยมิใช่เป็นเป้าหมายที่เข้มงวด เเละเปลี่ยนกรอบการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่อัตราผลตอบเเทน 1.0% จากเดิมที่ 0.5% ในขณะที่ BOJ มีมติเอกฉันท์ในการคงเป้าการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ในส่วนของประมาณการเศรษฐกิจ คาด GDP ปีงบประมาณ FY2023F จะขยายตัว 1.3% ลดลงเล็กน้อยจากประมาณการครั้งก่อนเดือนเม.ย. ที่คาดว่าจะขยายตัว 1.4% ขณะที่คงคาดการณ์ GDP ปีงบประมาณ FY2024F ไว้ระดับเดิมที่ 1.2% ทางด้านเงินเฟ้อ คาดการณ์ Core CPI ปีงบประมาณ FY2023F จะขยายตัว 2.5% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่คาดว่าจะขยายตัว 1.8% จากผลของต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้นเเละส่งผ่านไปยังผู้บริโภคสูงกว่าที่เคยประเมินไว้ ส่วนเงินเฟ้อ Core CPI ในปีงบประมาณ FY2024F คาดจะอยู่ที่ 1.9% ลดลงจาก 2.0% ในประมาณการครั้งก่อน ภายหลังการประชุม ผู้ว่าฯ BOJ ได้ออกมาระบุว่า กรรมการหลายคนเล็งเห็นถึงเเนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าว่ามีความเสี่ยงไปทางด้านสูงมากขึ้น ในขณะที่ผ่านมาได้ประเมินเเรงกดดันจากเงินเฟ้อตํ่าเกินไป ทาง BOJ จึงตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินผ่านการเปลี่ยนกรอบการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในการประชุมครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้มาตรการ YCC

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยไม่ได้มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่ชัดเจน โดยสรุป ณ สิ้นเดือน พันธบัตรรุ่นอายุต่ำกว่า 10 ปีปรับขึ้น 1-10Bps ส่วนอายุ 11 ปีขึ้นไปกลับปรับลดลง 2-8Bps ในขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรโดยภาพรวมปรับขึ้นตลอดทั้งเส้น ตามการคาดการณ์ของนักลงทุนในตลาดว่า การประชุม FED ในช่วงปลายเดือนจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไป สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเดือนนี้ เป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 2.5 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 7.8 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรเพิ่มขึ้นประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท โดยสรุปยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ประมาณ 1.03 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มิถุนายน 2566

SET Index ปิดที่ระดับ 1,503.10 จุด ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.98% โดยดัชนีขยับขึ้นมาในช่วงครึ่งเดือนแรก ก่อนจะปรับตัวลงมาแรงในช่วงครึ่งหลังของเดือน โดยมีปัจจัยกดดันทั้งจากภายนอกและภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ของ SET Index อยู่ที่ -9.92% ให้ผลตอบแทนรั้งท้ายในตลาดภูมิภาคเอเชีย

สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกปัจจัยแรก ได้แก่ การที่ FED ยังส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจทั้งการบริโภค ตลาดแรงงาน และราคาบ้าน ในเดือนล่าสุดยังออกมาแข็งแกร่งปัจจัยกดดันถัดมาคือ ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนผ่านรายงานยอดส่งออกจีนเดือนพฤษภาคม ที่ปรับตัวลดลง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ อัตราการว่างงานของผู้เรียนจบใหม่ก็ยังสูง ทำให้มีการทยอยปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GPD ประเทศจีนลง อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นประเทศไทยยังได้รับอานิสงส์จากข่าวรัฐบาลจีนกำลังพิจารณาที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมาพยุงตลาดไว้

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ ปัจจัยกดดันหลักนั้นหนีไม่พ้นเรื่องความไม่ชัดเจนทางการเมือง หลังมีข่าวว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลยังไม่สามารถตกลงเรื่องตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกันได้ และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่นายพิธาจะขึ้นเป็นนายกฯ เนื่องจากอาจจะได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาไม่เพียงพอ นอกจากประเด็นทางการเมืองแล้ว ยังมีปัจจัยลบจากหลายบริษัทในตลาด ได้แก่ (1) DELTA ที่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลงแรงหลังจากถูกมาตรการกำกับซื้อขาย (2) TRUE และ DIF ที่นักลงทุนกังวลเรื่องการเพิ่มทุนและ TRUE อาจยกเลิกการใช้เสาของ DIF (3) JMART และ JMT ที่ถูกเทขายเนื่องจากถูกถอดออกจากดัชนี SET50 รอบครึ่งปีหลัง (4) EA, NEX และ BYD ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงหลังมีข่าวรถบัสไฟฟ้าไฟไหม้ และท้ายที่สุด (5) STARK ที่มีข่าวการทุจริตและพยายามตกแต่งบัญชี ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อบริษัทในตลาดโดยรวม

สรุปในเดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 4.2% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 2.1% และกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 1.5% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ -10.0% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -9.9% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -9.7% สำหรับปริมาณการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนในเดือนมิถุนายนนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 9.1 พันล้าน โดยเป็นการขายสุทธิห้าเดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 2.9 พันล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1.9 พันล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 8.1 พันล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในช่วงครึ่งหลังปี 2566 เรายังคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นำโดยการท่องเที่ยวและการส่งออกที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก และไม่ว่าฝ่ายไหนจะได้เป็นรัฐบาล แต่เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ปัจจัยกดดันตลาดจากความไม่แน่นอนทางการเมืองก็จะลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด รวมไปถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจจะกดดันบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่มได้

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – มิถุนายน 2566

ในเดือนนี้ FED มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.00%-5.25% เพื่อให้เวลาในการพิจารณาความเหมาะสมของการเพิ่มการตึงตัวของนโยบายการเงิน ซึ่ง FED จะประเมินการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไปจากผลของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ผ่าน ๆ มาที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และตลาดการเงิน โดยค่ากลาง Dot Plot ได้ปรับมุมมองอัตราดอกเบี้ยปีนี้เพิ่มขึ้น จาก 5.1% ในการประชุมเดือนมีนาคม ไปอยู่ที่ 5.6% ซึ่งมีกรรมการ 12 ท่านจาก 18 ท่านที่มองดอกเบี้ยเท่ากับหรือสูงกว่า 5.5%-5.75% ในปีนี้ แถลงการณ์ของ FED กล่าวว่าระบบธนาคารสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง และมีความยืดหยุ่น ความตึงตัวด้านสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ผลกระทบยังมีความไม่แน่นอนที่สูง ด้านเศรษฐกิจประเมินว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย และผลกระทบของดอกเบี้ยที่สูงส่งผลต่อกิจกรรมตลาดบ้านและการลงทุน ด้านตลาดแรงงาน อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ และการจ้างงานยังคงขยายตัวดี โดยมีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงานกำลังกลับสู่สมดุลที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี อุปสงค์ยังคงมากกว่าอุปทานค่อนข้างมาก โดย FED คาดการณ์ปีนี้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นจากที่ประเมินไว้ในเดือนมีนาคมที่ 0.4% มาอยู่ที่ 1% และ อัตราการว่างงานปีนี้ลงจาก 4.5% ไปอยู่ที่ 4.1%

ด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับดอกเบี้ยขึ้น 25Bps ตามการคาด ทำให้อัตราดอกเบี้ย Deposit Rate ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.50% สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ย Marginal Lending Rate เพิ่มขึ้นเป็น 4.25% และอัตราดอกเบี้ย Main Refinancing Rate เพิ่มขึ้นเป็น 4.00% ท่ามกลางเงินเฟ้อที่แม้จะชะลอลง แต่ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงยาวนานเกินไป ประธาน ECB แถลงหลังการประชุมว่า การปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่องในการประชุมเดือน ก.ค. นั้นมีความเป็นไปได้สูง สำหรับเศรษฐกิจ ECB ได้ปรับเพิ่มประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปขึ้น สำหรับปี 2023-2025 เป็น 5.4%, 3.0% และ 2.2% ตามลำดับ เกินเป้าหมายที่ 2% เล็กน้อย และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อพื้นฐานขึ้น สำหรับปี 2023-2025 เป็น5.1%, 3.0% และ 2.3% ตามลำดับ ปัจจัยหลักมาจากค่าจ้างแรงงานที่ได้แรงหนุนจากตลาดแรงงานแข็งแกร่ง ด้าน GDP ได้ปรับลดประมาณการปี 2023-2024 ลงเล็กน้อย -0.1ppt เป็น 0.9% และ 1.5% ตามลำดับ โดยหลักจากสภาวะทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น รวมถึง GDP ไตรมาสแรกที่ออกมาติดลบ (-0.1% QoQ) และคาดปี 2025 ที่ 1.6% เช่นเดิม ด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 7-2 ปรับขึ้นดอกเบี้ย 50bps สู่ระดับ 5.00% สูงสุดในรอบ 15 ปี โดยนับเป็นการปรับดอกเบี้ยขึ้นในอัตรามากสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. และมากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นในอัตรา 25bps เท่านั้น แถลงการณ์ได้ระบุเช่นเดียวกับในการประชุมครั้งก่อนว่า หากมีหลักฐานว่าแรงกดดันด้านราคาคงอยู่หรือเพิ่มขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมก็มีความจำเป็น การตัดสินใจปรับดอกเบี้ยขึ้นในครั้งนี้ เป็นผลจากที่อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. ซึ่งรายงานในวันก่อนหน้าการประชุม ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ (8.7% YoY เท่าเดือนก่อน เทียบกับที่คาดไว้ 8.4%) โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ที่เร่งตัวขึ้นสวนการคาดการณ์ สู่ระดับสูงสุดในรอบ 31 ปี (7.1% YoY)

ในขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติเอกฉันท์คงนโยบายการเงินผ่อนคลายดังเดิมต่อไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserve) เเละคงเป้าหมายอัตราผลตอบเเทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control: YCC) ไว้ที่ประมาณ “0%” เเละเคลื่อนไหวในกรอบ +/-0.5% รวมถึงคงเป้าการเข้าซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ประกาศก่อนหน้านี้ แถลงการณ์ระบุ BOJ มองอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะชะลอตัวลงในช่วงกลางของปีงบประมาณ FY2023 จากผลของการส่งผ่านต้นทุนของผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคที่จะลดลง ก่อนที่จะปรับขึ้นหลังจากนั้น จากแรงหนุนของค่าจ้าง การคาดการณ์เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับขึ้น 2-12ps ในขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อัตราผลตอบแทนปรับขึ้นโดยเฉพาะในช่วงอายุ 1-10ปี เป็นผลมาจากนักลงทุนในตลาดได้ปรับเปลี่ยนมุมมองว่า FED ยังไม่หยุดรอบของการขึ้นดอกเบี้ยนี้ รวมถึงจะยังคงไม่เห็นการเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้อีกด้วย แม้ว่าผลการประชุมของ FED ในเดือนนี้จะเป็นการคงระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ เพื่อให้เวลาในการพิจารณาความเหมาะสมของการเพิ่มการตึงตัวของนโยบายการเงินที่ผ่านมา สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเดือนนี้ เป็นการขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 9.5 พันล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 2.3 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรลดลงประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท โดยสรุปยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ประมาณ 1.01 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – พฤษภาคม 2566

FED มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 25bps ตามคาด เพื่อทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% พร้อมดำเนินการลดงบดุลต่อเนื่องตามแผนเดิม โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 5.00%-5.25% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ซึ่ง FED จะประเมินการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไปจากผลของการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ผ่านมาที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และตลาดการเงิน แถลงการณ์ของ FED กล่าวว่าระบบธนาคารสหรัฐฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง และมีความยืดหยุ่น ความตึงตัวด้านสินเชื่อของภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ผลกระทบยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ แถลงการณ์ในครั้งนี้ได้ละเว้นประโยคที่ส่งสัญญาณถึงความจำเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยในครั้งต่อไป โดยเปลี่ยนเป็นการประเมินจากปัจจัยต่าง ๆ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของการเพิ่มการตึงตัวของนโยบายการเงิน ทางด้านเศรษฐกิจ ประเมินว่าเศรษฐกิจขยายตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสแรก แต่ยังต่ำกว่าเทรนด์ จากผลกระทบของดอกเบี้ยสูงที่ส่งผลต่อตลาดบ้าน และการลงทุน เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายมาก อย่างไรก็ตาม คาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังคงอยู่ในระดับเดิม ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ และการจ้างงานยังคงขยายตัวดี อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณบ่งชี้ว่าอุปสงค์และอุปทานในตลาดแรงงานกำลังกลับสู่สมดุลที่ดีขึ้น แม้อุปสงค์ยังคงมากกว่าอุปทานค่อนข้างมาก

ECB มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps ตามคาด โดยขึ้นอัตราดอกเบี้ย Main refinancing operations จาก 3.50% ไปอยู่ที่ 3.75% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal lending facility) จาก 3.75% ไปอยู่ที่ 4.00% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit facility) จาก 3.00% ไปอยู่ที่ 3.25% โดยเป็นการขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเร่งที่ชะลอลงจาก 50bps ในครั้งก่อนหน้า พร้อมประกาศสิ้นสุดการลงทุนต่อ (Reinvestment) โครงการ Asset Purchase Programme (APP) จนถึงกรกฎาคม 2023 และจะลงทุนต่อในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) จนถึงสิ้นปี 2024 เป็นอย่างน้อย ในถ้อยแถลงหลังผลการประชุม คริสตีน ลาการ์ด ระบุว่า ECB จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง และยังไม่หยุดขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากเกินไป และ ECB ยังคงยึดมั่นกับการจัดการเงินเฟ้อให้กลับสู่เป้าหมายที่ 2% สำหรับการตัดสินใจของ ECB ในระยะข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเป็นสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลเงินเฟ้อ เศรษฐกิจ และสภาวะการเงิน ปัจจุบันเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสที่ 1 ยังคงขยายตัว แม้ภาคการผลิตจะมีแนวโน้มแย่ลง แต่ภาคการบริการมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น จากผลของการเปิดประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากสงครามรัสเซียยูเครน และการส่งผ่านของการขึ้นดอกเบี้ยไปสู่เศรษฐกิจจริงที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

ธนาคารอังกฤษมีมติ 7-2 ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น 25bps สู่ระดับ 4.5% ตามคาด โดยมีคณะกรรมการ 2 ท่านที่มองว่าควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม 4.25% โดยระบุถึงการส่งผ่านของนโยบายการเงินที่มีระยะเวลานานซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง ในแถลงการณ์ระบุเช่นเดียวกับในการประชุมครั้งก่อนว่า หากมีหลักฐานว่าแรงกดดันด้านราคาคงอยู่หรือเพิ่มขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมก็มีความจำเป็น ซึ่งในการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังเกิดขึ้นต่อ ด้านมุมมองต่อเศรษฐกิจ มองเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว 0.25% (เดิมคาด -0.5%), ปี 2024 ขยายตัว 0.75% (เดิมคาด -0.25%) และปี 2025 คาดจะขยายตัว 0.75% (เดิมคาด 0.25%) จากอุปสงค์โลกที่แข็งแกร่งขึ้น ราคาพลังงานที่ปรับลดลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลัง รวมถึงตลาดแรงงานที่ตึงตัวกว่าคาด ซึ่งทำให้การเก็บออมเผื่อฉุกเฉินของภาคครัวเรือนลดลง

กนง. มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25bps สู่ระดับ 2% ตามคาดการณ์ และมีการกล่าวถึงภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายน้อยลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากการเเถลงผลการประชุม กนง. คงประมาณการการเติบโตของ GDP ไทยที่ระดับ 3.6% และ 3.8% ในปี 2023-24 ตามลำดับ โดยได้ปัจจัยหนุนหลักจากภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเป็นวงกว้างและการบริโภคภาคครัวเรือนที่ดีขึ้น อีกทั้งยังเชื่อว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่อาจเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตดีกว่าที่ประเมินไว้ ด้านเงินเฟ้อ ได้มีการปรับลดประมาณการทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานลง โดยล่าสุดคาดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ระดับ 2.5% ในปี 2023 (2.9% ครั้งก่อน) และ 2.4% ในปี 2024 (2.4% ครั้งก่อน) ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานถูกปรับลดประมาณการลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0% ในปีนี้ (2.4% ครั้งก่อน) และจะเติบโตอยู่ในระดับดังกล่าวในปีหน้าด้วย (2.0% ไม่มีการเปลี่ยนเเปลง) นอกจากนี้ กนง. ยังคงกล่าวถึงการที่ภาวะทางการเงินโดยรวมที่ผ่อนคลายลดลง โดยมาจากต้นทุนการระดมทุนของภาคเอกชนที่สูงขึ้นตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับขึ้น 1-25bps ในขณะที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับขึ้นตลอดทั้งเส้น 18-93bps โดยพันธบัตรอายุที่สั้นกว่า 1 ปีปรับขึ้นมากกว่ารุ่นอื่น แม้ว่าช่วงกลางเดือนจะมีการตีความบทสัมภาษณ์กรรมการ FED บางท่านว่า อาจไม่มีการลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้แล้ว จึงทำในอัตราผลตอบแทนที่ซื้อขายในตลาดปรับลดลงมาบ้าง ในขณะที่รายงานการประชุมที่เปิดเผยออกมาช่วงปลายเดือนมีทั้งความเห็นในฝั่งที่สนับสนุนให้ขึ้นดอกเบี้ยต่อและเสนอให้หยุดขึ้นดอกเบี้ย โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่นอายุ 1 เดือนเคลื่อนไหวระหว่าง 4.49-6.02%, รุ่นอายุ 2 ปีเคลื่อนไหวระหว่าง 3.89-4.54% และรุ่นอายุ 10 ปีเคลื่อนไหวระหว่าง 3.38-3.83% สำหรับการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติเดือนนี้ เป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 2 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 1.8 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว นักลงทุนต่างชาติถือครองพันธบัตรเพิ่มขึ้นประมาณ 1.25 หมื่นล้านบาท โดยสรุปยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ประมาณ 1.04 ล้านล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีก่อนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤษภาคม 2566

SET Index แกว่งตัวขึ้นเล็กน้อย โดยปรับตัวปิดที่ระดับ 1,533 จุด (+0.29% จากเดือนเมษายน) โดยมีปัจจัยบวกและลบสลับเข้ามากระทบตลาดตลอดทั้งเดือน สำหรับปัจจัยภายนอกคือ เรื่องความยืดเยื้อของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯหลังจากสภาบนและสภาล่างของสหรัฐฯมีความเห็นไม่ตรงกัน ก่อนที่จะมีข้อตกลงเชิงบวกช่วงท้ายเดือน ส่วนปัจจัยภายในจะเป็นในเรื่องของผลของการเลือกตั้งที่ผลลัพธ์นั้นออกมาผิดไปจากที่ตลาดคาด โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ได้คะแนนสูงสุด และได้สิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน สร้างความกังวลให้กับตลาดทุนจากนโยบายของพรรคที่มีโอกาสสร้างผลกระทบให้แก่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด

สำหรับปัจจัยกดดันภายนอกนั้นนอกเหนือจากเรื่องการบรรลุข้อตกลงการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ทำให้ความกังวลต่อการผิดชำระหนี้ของสหรัฐฯได้คลี่คลายออกไป ยังมีเรื่องโอกาสที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังออกมาแข็งแกร่ง และยังคงมองว่าปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังไม่สิ้นสุดลง

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ จะมีเรื่องผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนสูงสุดและมีสิทธิในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่ด้วยจำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรที่ใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทย ประกอบกับสมาชิกวุฒิสภาที่ยังคงมีสิทธิในการออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้ยังมีความไม่ชัดเจนต่อการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะออกมาในรูปแบบไหน นอกจากนี้ จากนโยบายของพรรคก้าวไกลที่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้นโยบายหลายนโยบายส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาด อาทิ นโยบายลดค่าไฟที่สร้างความกังวลต่อโอกาสในการเติบโตในประเทศของโรงไฟฟ้าในกลุ่มใช้ก๊าซ การเพิ่มภาษีบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรเกิน 300 ล้านบาทจาก 20% เป็น 23% การเก็บภาษีผู้มีสินทรัพย์เกิน 300 ล้านบาท การเก็บภาษีที่ดินรายแปลงและรวมแปลง และเรื่องของ Capital Gain Tax ที่สร้างความกังวลว่าจะทำให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดลดลง นโยบายทั้งหมดได้สร้างความกังวลต่อนักลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่ผ่านมา

สรุปในเดือนที่ผ่านมา กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด คือ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 31.7% กลุ่มยานยนต์ 5.8% และกลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต 4.0% ในขณะที่กลุ่มที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในช่วงเดียวกัน ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมี
-8.3% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -6.5% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง -6.2% โดยปริมาณการซื้อขายในเดือนพฤษภาคมนั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิที่ 3.3 หมื่นล้านโดยเป็นการขายสี่เดือนติดต่อกัน นักลงทุนทั่วไปภายในประเทศซื้อสุทธิ 0.5 หมื่นล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 0.2 หมื่นล้านบาท และนักลงทุนสถาบันภายในประเทศซื้อสุทธิ 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับมุมมองในการลงทุนในไตรมาสสองของปี 2566 เราคงมุมมองว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจประเทศไทยนั้นยังมีโอกาสในการฟื้นตัว นำโดยภาคการท่องเที่ยว เราคาดว่าหลังจากเห็นความชัดเจนจากการเลือกตั้งแล้ว หากประเทศไทยได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีการฟังความเห็นของภาคเศรษฐกิจมาปรับนโยบายให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของประเทศ ตลาดหุ้นไทยจะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นได้