ภาวะตลาดหุ้นไทย – กุมภาพันธ์ 2563

ปัญหาการระบาดของ COVID-19 ได้สร้างความตื่นตระหนกต่อภาวะการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่อการระบาดเริ่มมีการกระจายไปยังภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากจีน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรงในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน โดยดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง 9.1% และ MSCI Euro ปรับตัวลง 8.7% เป็นต้น สำหรับประเทศไทยเอง SET Index ปรับตัวลง 10.3% ซึ่งนอกเหนือจากการระบาดของ COVID-19 ในภูมิภาคอื่นแล้ว นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับการการเกิด Super Spreaders ในไทย เหมือนในเกาหลีใต้ เมื่อมีกรณีที่ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ไม่ยอมแจ้งแก่สถานพยาบาลว่าไปเที่ยวประเทศที่มีความเสี่ยงกลับมาแล้วมีอาการไข้ ทำให้ SET Index ในเดือนกุมภาพันธ์ ปรับตัวลง 174 จุด หรือปรับตัวลงถึง 11.5%

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 SET Index ปิดที่ 1,340.52 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,514.14จุด หรือประมาณ -11.5% จากสิ้นเดือนมกราคม 2563 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนติดลบน้อยที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -3.3% กลุ่ม ICT -4.5% และกลุ่มยานยนต์ -6.2% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -18.3% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -15.0% และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -13.7% ในเดือนมกราคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 19,649 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,921 ล้านบาท

หากเทียบเคียงเหตุการณ์ส่วนใหญ่ที่ตลาดหุ้นตกลงรุนแรงในเวลา 1 เดือนในอดีตที่ผ่านมานั้น พบว่ามาจากการเกิดความเสี่ยงในภาวะเศรษฐกิจใน 2 ลักษณะคือ 1) ภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย ที่มีปัญหาเชื่อมต่อไปถึงการปิดสถาบันการเงิน เป็นเหตุการณ์ประเภท Demand Disruption หรือความต้องการหดหายยาวนานอันเนื่องมาจากการล่มสลายของภาวะเศรษฐกิจ และ 2) เหตุการณ์ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกระทันหันช่วงเวลาหนึ่ง (Event Risk) เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว หรือการเกิดโรคระบาด เป็นต้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ประเภท Supply Disruption หรือไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามความต้องการ หรือ Demand Disruption จะเกิดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะการชะลอการใช้จ่าย ความแตกต่างของเหตุการณ์ใน 2 ลักษณะคือ ภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงรุนแรงและยาวนาน ใช้เวลาฟื้นตัวช้าและต้องรอตัวเลขการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้น เนื่องจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจกินเวลานาน ในขณะที่การเกิดเหตุการณ์ในลักษณะหลัง ตลาดหุ้นจะปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วง 1-2 เดือนแรก และเมื่อเหตุการณ์มีแนวโน้มคลี่คลาย ตลาดหุ้นก็จะฟื้นตัวได้ค่อนข้างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้เศรษฐกิจเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว

ตารางตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญที่หุ้นตกแรง

การระบาดของ COVID-19 ได้สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ตลาดหุ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 สัปดาห์แล้ว และในปัจจุบันปัญหาการระบาดในจีนเหมือนจะผ่านจุดที่ย่ำแย่ที่สุดไปแล้ว หลังจากที่รัฐบาลจีนออกมาตรการควบคุมการเดินทางประมาณ 3 สัปดาห์ (โดยทั่วไป COVID-19 ใช้เวลา 1-14 วันในการแสดงอาการ) ในญี่ปุ่น ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เริ่มทรงตัวหลังจากการเริ่มระบาดอย่างรุนแรงและรัฐบาลได้พยายามเข้าควบคุมปัญหาประมาณ 3 สัปดาห์เช่นกัน ในขณะที่การระบาดที่รุนแรงในอิตาลี เกาหลีใต้ และอิหร่าน เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นและรัฐบาลเริ่มพยายามเข้าควบคุมปัญหาอย่างเต็มที่ประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้น เรายังพอคาดหวังได้ว่าการระบาดที่เกิดขึ้นจะผ่านจุดสูงสุดใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า และเริ่มคลี่คลายมากขึ้นเมื่อเข้าช่วงหน้าร้อนของประเทศในเขตเหนือเส้นศูนย์สูตร ขณะเดียวกัน ทั่วโลกก็กำลังเร่งการวิจัยและทดลองยาต้าน/ยารักษาไวรัส COVID-19 ในขณะที่ Case การรักษาหายก็มีมากขึ้น ทำให้น่าจะเริ่มเห็นวิธีรักษา/ยารักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะ 2-3 เดือนข้างหน้า

ปัญหาความตกต่ำของเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโรคระบาด จะมีความต่างจากเหตุการณ์ Supply Disruption ประเภทน้ำท่วม แผ่นดินไหว เพราะการเกิดโรคระบาดไม่มีการทำลายโครงสร้างพื้นฐานหรือโครงสร้างการผลิต แต่เป็นการชะงักงันจากการหยุดการผลิตชั่วคราว ดังนั้น เมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย การฟื้นฟูเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่า หากมีการช่วยเหลือทางการเงินให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาเริ่มการผลิตได้ และทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของปริมาณเงินในระบบ ซึ่งในภาวะปัจจุบัน รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกยังมีความพร้อมที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงิน

สำหรับประเทศไทยเอง ในช่วงที่ผ่านมา เราประสบปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากหลายปัจจัย ได้แก่ ค่าเงินบาทแข็งค่าและปัญหาสงครามการค้า ที่ทำให้ภาคการส่งออกชะลอตัว ปัญหาภัยแล้ง ความล่าช้าในการอนุมัติงบประมาณปี 2563 และยังมาเจอปัญหาการระบาดของไวรัส COVID-19 ที่กระทบภาคการท่องเที่ยวอย่างแรง ทำให้เราคาดว่าประเทศไทยอาจจะเกิด Technical Recession หรืออัตราการเติบโตของ GDP ติดลบ 2 ไตรมาสได้ในครึ่งแรกของปี 2563 นี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เราคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี 2563 มาก เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ที่กล่าวมามีการแนวโน้มคลี่คลายลง ไม่ว่าจะเป็นช่วงหลังการเกิดโรคระบาด ความต้องการสินค้าและบริการของโลกจะเพิ่มขึ้นมาก เพื่อชดเชยที่ขาดหายไปในช่วงการเกิดโรคระบาด เมื่อผนวกกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมา ก็น่าจะทำให้การส่งออกของประเทศดีขึ้น ปัญหาภัยแล้งจะคลี่คลายลงเมื่อเข้าฤดูฝน และราคาสินค้าเกษตรไม่น่าจะตกต่ำเนื่องจากความต้องการที่มากขึ้นหลังโรคระบาด รัฐบาลสามารถใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่หลังการอนุมัติงบประมาณปี 2563 อัตราดอกเบี้ยต่ำลงและสภาพคล่องมากขึ้นจากการออกมาตรการยืดหยุ่นในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาหลังจากปัญหาโรคระบาดคลี่คลายลง

ในช่วงที่ SET Index ปรับตัวลงมาถึงระดับปัจจุบัน บลจ.ทาลิสมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าการถอดใจหนีออกจากตลาดหุ้น และเราสามาถเลือกลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระดับราคาที่ถูกลงมากได้ ดังนั้น เราจึงใช้จังหวะนี้ในการปรับ Portfolio การลงทุน โดยย้ายการลงทุน (Switching) จากหุ้นที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้ากว่า ไปยังหุ้นที่ยังมีการเติบโตที่ดีและมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าหลังจากปัญหาการระบาดของไวรัส COVID-19 คลี่คลายลง

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มกราคม 2563

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -4.2% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2562 เป็นการปรับตัวลงแรงจากปัจจัยความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ไวรัสโคโนน่าระบาด และการล่าช้าของงบประมาณภาครัฐ

ตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศปรับตัวลงตั้งแต่ต้นเดือน หลังสหรัฐฯ ใช้โดรนโจมตีนายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ของอิหร่านเสียชีวิต ทางฝั่งอิหร่านจึงตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธหลายสิบลูกถล่มฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ในอิรัก ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงเกิดความวิตกและเทขายหุ้นออกมา ก่อนที่ภายหลังสหรัฐฯ เลือกที่จะตอบโต้อิหร่านผ่านการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแทนการใช้ความรุนแรง ความกังวลด้าน Geo-Political Risk จึงบรรเทาลงในระยะสั้น

หลังจากที่ตลาดปรับตัวลง นักลงทุนภายในประเทศให้ความหวังในการผ่านร่างงบประมาณของรัฐบาล ที่ล่าช้ามาตั้งแต่ปลายปี 2562 มาเป็นปัจจัยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมี สส. อนุมัติร่างงบประมาณวาระ 2 และ 3 แล้ว ทว่า กลับพบว่ามี สส.บางท่านเสียบบัตรแทนกันในการโหวตในสภา ทำให้ประธาน สส. นำคำร้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง โดยกระบวนการถัดไป สส. ที่ถูกกล่าวหาจะต้องไปให้ถ้อยคำในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ทำให้กระบวนการต่าง ๆ ของร่างงบประมาณล่าช้าออกไปอีก SET Index จึงปรับตัวลงตอบสนองเป็นลบต่อข่าวนี้

ถัดมาในช่วงปลายเดือน เกิดการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ค่อนข้างรุนแรงในประเทศจีน โดยภายในสิ้นเดือนมกราคม พบผู้ติดเชื้อไวรัสกว่า 9,814 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 213 ราย ทำให้ WHO ประกาศให้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศปิดเมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ย และสั่งให้บริษัททัวร์ของจีนหยุดกิจกรรมท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 2 เดือน ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนจึงได้รับผลกระทบโดยตรง หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงแรม กลุ่มสายการบิน กลุ่มพาณิชย์ รวมไปถึงกลุ่มพลังงาน ถูกเทขายอย่างรุนแรงจากความกังวลผลกระทบด้านลบจากการที่นักท่องเที่ยวจีนลดลง ซึ่งในเบื้องต้น ผลกระทบทางเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ของปี 2563 น่าจะอยู่ในระดับสูง แต่หากตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มมีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง หรือมีการค้นพบวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพ เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว และ SET index น่าจะกลับมาตอบสนองเป็นบวกเหมือนเช่นเหตุการณ์โรคระบาดในอดีต

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนมกราคม 2563 SET Index ปิดที่ 1,514.14 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,579.84 จุด หรือประมาณ -4.2% จากสิ้นเดือนธันวาคม 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร +7.8% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ +2.7% และกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม +1.8% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการ -16.5% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -14.4% และกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -10.8% ในเดือนมกราคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 17,302 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 12,341 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย (มกราคม 2563)

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.50%-1.75% ตามที่ตลาดคาด และยังคงมองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวมีความเหมาะสมในการสนับสนุนให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืน

ภาวะตลาดหุ้นไทย – ธันวาคม 2562

ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -0.68% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 เป็นการแกว่งตัวในกรอบแคบด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง โดยมีปัจจัยบวกส่วนใหญ่จากต่างประเทศ

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตั้งแต่ต้นเดือน จากความกังวลด้านปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมือง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องการพิจารณายุบพรรคอนาคตใหม่ ที่ยื่นโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง จากกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคให้เงินยืมแก่พรรคอนาคตใหม่ และการจัดการชุมนุมแฟล็ชม็อบที่มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนหลายพันคน ทำให้ความกังวลเรื่องความวุ่นวายทางการเมืองกลับมาอีกครั้ง

สำหรับในต่างประเทศ มีข่าวดีเรื่องการบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ได้แก่ (1) สหรัฐฯ ยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่กำหนดเก็บในวันที่ 15 ธันวาคม 2562 วงเงิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (2) สหรัฐฯ ตกลงที่จะลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่มีผลเมื่อเดือนกันยายน 2562 วงเงิน 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เหลืออัตรา 7.5% จากเดิม 15% มีผลบังคับใช้ภายใน 30 วันหลังการลงนาม และ (3) จีนตกลงที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ วงเงิน 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนภาษีก้อนที่สหรัฐฯ เรียกเก็บไปแล้ว 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตรา 25% จะยังคงเดิม แต่อาจทยอยลดลงในการเจรจาเฟสถัด ๆ ไป โดยผู้นำทั้งสองประเทศน่าจะลงนามข้อตกลงดังกล่าวนี้ได้ในวันที่ 15 มกราคม 2563 ข่าวนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทั่วโลก

ส่วนในฝั่งยุโรป ความเสี่ยง Brexit ของอังกฤษแบบไม่มีข้อตกลงก็ได้ลดลงไปเช่นกัน หลังผลการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษ ปรากฏว่าพรรคอนุรักษ์นิยมชนะการเลือกตั้ง และได้รับเสียงข้างมากในสภาอย่างมีนัย อีกทั้งสภาล่างของอังกฤษได้ลงมติเห็นชอบในหลักการร่างกฏหมาย Brexit ของนาย Boris Johnson แล้ว และรอวุฒิสภาลงมติเป็นลำดับถัดไป ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผ่านมติอย่างราบรื่น ทำให้ปัญหา Brexit ที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี น่าจะมีทางออกได้ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนธันวาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,579.84 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,590.59 จุด หรือประมาณ -0.68% จากสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ +10.8% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ +3.9% และกลุ่มโรงพยาบาล +3.7% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มโรงแรม -9.6% กลุ่มสื่อสาร -4.9% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ -2.5% ในเดือนธันวาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 24,487 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 24,757 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย (ธันวาคม 2562)

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Federal Funds Rate) ที่ 1.50%-1.75% ตามที่ตลาดคาด โดยมองอัตราดอกเบี้ยในระดับดังกล่าวมีความเหมาะสมในการสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน

ภาวะตลาดหุ้นไทย – พฤศจิกายน 2562

ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลง -0.68% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2562 เป็นการแกว่งตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ ในขณะที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังถูกปรับลดลง

ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงต้นเดือน จากการที่นักลงทุนคาดหวังการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งผลการประชุมในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 กนง. มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ 1.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ จากความกังวลด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำกว่าคาด SET Index มีการตอบรับในเชิงบวกระยะสั้น และเริ่มปรับลดลงเมื่อเข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3

กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3 ที่ประกาศออกมานั้น มีกำไรสุทธิรวม 2.13 แสนล้านบาท ทรงตัวจากไตรมาส 2 แต่ลดลง 18% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ในปีที่แล้ว หากรวมกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีนี้ จะอยู่ที่ 6.83 แสนล้านบาท ลดลง 15% จากปี 2018 โดยกลุ่มที่กำไรเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร อาหาร และเงินทุนหลักทรัพย์ ส่วนกำไรลดลงมาก ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ มีมูลค่าตลาดสูง จึงเป็นตัวฉุดกำไรของตลาด ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด (SET EPS) ในปี 2019 ลดลงมาอยู่ที่ 94.5 บาท และในปี 2020 อยู่ที่ 105.2 บาท คิดเป็นการติดลบจากปีที่แล้ว -3.2% และฟื้นตัว 11% ในปีหน้า นอกจากนี้ ทางสภาพัฒน์ได้ประกาศตัวเลขอัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 3 ของไทยออกมาอยู่ที่ 2.4% ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 2.3% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.6% มีเพียงภาคบริการที่เติบโตค่อนข้างดี (+11%) ส่วนภาคการส่งออกและนำเข้ายังหดตัว การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้เล็กน้อย (+2.8%) ภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหดตัว (-1.5%) ทำให้สภาพัฒน์มีการปรับลดการประมาณการการเติบโตของ GDP ทั้งปีนี้ลง จากเดิม 2.7-3.2% มาอยู่ที่ 2.6% อัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากปี 2018 ที่ 4.1%

ทั้งตัวเลขกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนและตัวเลข GDP ที่ออกมานั้น เป็นสิ่งยืนยันการชะลอตัวเศรษฐกิจของไทย และเป็นปัจจัยกดดัน SET Index ตั้งแต่กลางปี โดยดัชนีปรับลดลงจากจุดสูงสุดบริเวณ 1,740 จุดในเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,600 จุดในปัจจุบัน ซึ่งคิดเป็นการปรับลดลงถึง 8% ในเวลาเพียง 4 เดือน ปัจจัยเสี่ยงของตลาดหุ้นในเวลานี้ นอกจากจะมีปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ความขัดแย้งในฮ่องกง หรือการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษแล้ว ปัจจัยหลักคือ ความกังวลการปรับลดลงต่อเนื่องของ SET EPS นั่นเอง

สำหรับปัจจัยต่างประเทศ นักลงทุนจับตารอความชัดเจนประเด็นการค้า แม้สหรัฐฯ และจีนใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าในเฟสแรก แต่การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามกฎหมายสนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง ทำให้อาจกระทบต่อการเจรจาการค้าได้ แต่ความกังวลด้านเศรษฐกิจโลกถดถอยเริ่มลดลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐฯ ยูโรโซน สหราชอาณาจักร และ จีน เป็นต้น เริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัว

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 SET Index ปิดที่ 1,590.59 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,601.49 จุด หรือประมาณ -0.68% จากสิ้นเดือนตุลาคม 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็คทรอนิคส์ +13.7% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ +10.5% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ +5.0% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่ม ICT -8.6% กลุ่มเกษตรและอาหาร -5.0% และกลุ่มธุรกิจบันเทิง -3.3% ในเดือนพฤศจิกายนนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 7,683 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2,585 ล้านบาท

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย (พฤศจิกายน 2562)

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 7 ต่อ 2 คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามที่ตลาดคาด และยังคงเป้าหมายการเข้าซื้อพันธบัตรไว้ที่ 4.35 แสนล้านปอนด์