ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – เมษายน 2562

ในเดือนนี้ตลาดสหรัฐฯ มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สะท้อนว่าตลาดแรงงานยังแข็งแกร่ง ได้แก่ การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น +1.96 แสนราย ดีกว่าตลาดคาดไว้ที่ +1.77 แสนราย ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวในระดับต่ำที่ 3.8% เท่ากับเดือนก่อนและเท่ากับที่ตลาดคาด ส่วนค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้น +0.1% MoM แต่ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ +0.3% MoM และเดือนก่อนที่ +0.4% MoM ส่งผลให้เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ค่าจ้างชะลอตัวลงเป็น +3.2% YoY นอกจากนี้ในช่วงปลายเดือน มีการประกาศ GDP ไตรมาส 1/2019 ในเบื้องต้นว่าขยายตัว +3.2% เร่งขึ้นจาก +2.2% ในไตรมาสก่อน และสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้อย่างมากที่ +2.3% อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจที่ขยายตัวดีกว่าคาดในไตรมาสนี้ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลัง และยอดส่งออกสุทธิ เป็นสำคัญ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสนี้

ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินเดิมตามคาด และย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4%) จะคงอยู่ที่ระดับต่ำนี้ยาวไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย และจะซื้อคืนพันธบัตรที่ครบกำหนดอายุ (Reinvest) ต่อไปจนกว่าอัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย นาย Mario Draghi ประธาน ECB กล่าวว่าโมเมนตัมทางเศรษฐกิจอ่อนแอลงและเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงต่อจากนี้ ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อในระยะข้างหน้า (เงินเฟ้อเดือน มี.ค. ขยายตัว 1.4% YoY ยังห่างไกลจากเป้า 2% ค่อนข้างมาก) ซึ่งนาย Draghi ยังคงย้ำว่า ECB พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนเครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่เพื่อหนุนเศรษฐกิจและให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเข้าสู่เป้าหมายที่ 2%

ในการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นหรือ BOJ ยังคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเดิมตามที่ตลาดคาด ได้แก่ คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ -0.1% สำหรับเงินสำรองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ (Excess Reserves) บางส่วน, คงเป้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Yield Curve Control) ไว้ที่ “ประมาณ 0%” และคงอัตราเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ 80 ล้านล้านเยนต่อปี BOJ ยังคงย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นและยาวจะคงอยู่ที่ระดับต่ำนี้ต่อไปอีกจนถึงกลางปี 2020 เป็นอย่างน้อย นอกจากนี้ BOJ ยังได้ปรับเปลี่ยนมาตรการบางส่วนเล็กน้อยในเชิงเทคนิคเพื่อสนับสนุนให้สามารถใช้นโยบายที่ผ่อนคลายต่อไปได้ ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจ BOJ ได้ออกประมาณการเงินเฟ้อไม่นับรวมอาหารสด (Core CPI) ของปีงบประมาณปี 2021 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 1.6% YoY ยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% และปรับลดคาดการณ์ GDP ของปีงบประมาณ 2019 และ 2020 ลง -0.1ppt เป็น 0.8% YoY และ 0.9% YoY ตามลำดับ

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นประมาณ 9 พันล้านบาท และขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวประมาณ 8.8 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และเป็นการถือครองลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยสรุปนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนเม.ย. คงเหลือ 9.29 แสนล้านบาท ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2018 ที่ 9.86 แสนล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากนัก มีเพียงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2-5 Bps ส่วนการประมูลพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยอายุ 14 วัน ถึง 6 เดือน อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากการประมูล มีทิศทางปรับขึ้นมาแตะระดับ 1.70% โดยในสัปดาห์สุดท้ายอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยรุ่น 14 วันอยู่ที่ 1.7053%, 3 เดือนที่ 1.7085% และ 6 เดือนที่ 1.7658%

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

บลจ.ทาลิส จัดสัมมนาให้ความรู้ลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ขวา) และนายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน (ซ้าย) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด จัดงานสัมมนาให้กับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลในหัวข้อ “แนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนหลังการเลือกตั้ง” โดยได้รับเกียรติจากนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)(กลาง) ร่วมเสวนาให้ข้อมูล วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาและปี 2562 พร้อมพูดคุยถึงสถานการณ์ ทิศทางการลงทุนทั้งในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – มีนาคม 2562

ในเดือนนี้ การประชุมคณะกรรมการนโยบายเงินของหลายประเทศสำคัญต่างเปลี่ยนมุมมองในการดำเนินนโยบายเป็นการผ่อนคลาย (Dovish) และปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจลง ดังเช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินตามที่ตลาดคาดการณ์ แต่มองเศรษฐกิจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกออกไป โดยอัตราดอกเบี้ย Refinancing rate ที่ 0.0% และ Deposit facility rate ที่ -0.4% จะอยู่ที่ระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย นาย Mario Draghi ประธาน ECB กล่าวว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยุโรปจากปัจจัยก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ ทั้งความเสี่ยงทางการเมือง ความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันการค้า และเศรษฐกิจของกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่อ่อนแอ ยังคงกดดันความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยุโรปอย่างต่อเนื่อง แต่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) นั้นยังมีจำกัด ภาพรวมเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ส่งผลให้ ECB ตัดสินใจออกโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับธนาคารพาณิชย์ (TLTRO3) ในการประชุมรอบนี้ เพื่อสนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อและลดแรงกดดันด้านสภาพคล่องเนื่องจากเงินกู้ในโครงการ TLTRO2 ได้ใกล้ครบกำหนดชำระคืน โดยโครงการ TLTRO3 นี้จะดำเนินการตั้งแต่เดือนก.ย. 2019 จนถึงเดือนมี.ค. 2021 แบ่งเป็นไตรมาสละครั้ง (รวม 7 ครั้ง) ซึ่งแต่ละครั้งจะมีกำหนดชำระคืน (Maturity date) ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยอัตราดอกเบี้ยจะอิงตาม Main Refinancing rate ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 0.0%

ธนาคารกลางของสหรัฐ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ (10-0) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25-2.50% แต่มีท่าที Dovish มากกว่าที่คาด และยังคงย้ำว่าจะรอประเมินพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน รวมถึงเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดย Fed ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เป็น 2.1% ปี 2020 เป็น 1.9% แต่คงปี 2021 ไว้ที่ 1.8% ส่วนเงินเฟ้อ Fed คงคาดการณ์ Core PCE ของปี 2019-2021 ไว้ที่ 2.0% ด้านนโยบายงบดุล Fed กล่าวว่าจะยุติการปรับลดขนาดงบดุลลงในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ โดยจะเริ่มชะลอการลดพันธบัตรในเดือนพ.ค. นี้ นาย Jerome Powell ประธาน Fed กล่าวว่านโยบายการเงินตอนนี้มีความเหมาะสมต่อสภาวะทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และคณะกรรมการฯ เชื่อว่าควรที่จะรอประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน จึงอาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะก่อนที่ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะส่งสัญญาณที่ชัดเจน นอกจากนี้ยังระบุว่า ตอนนี้ตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ สะท้อนว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน

ทางด้านนโยบายการเงินของไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ (7-0) ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปี โดยคณะกรรมการ 2 ท่านที่โหวตให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งก่อนเปลี่ยนเป็นโหวตให้คงอัตราดอกเบี้ย แม้ว่า กนง. จะยังคงมีมุมมองด้านบวกต่อการบริโภคภาคเอกชน แต่ได้ปรับลดประมาณการ GDP ปี 2019 ลงเหลือ +3.8% YoY (เทียบกับ +4.0% ครั้งก่อน) ตามการส่งออกที่ชะลอลงและการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเบิกจ่ายล่าช้า ทั้งนี้ ได้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าส่งออกลงเหลือ +3.0% YoY (เทียบกับ +3.8% ครั้งก่อน) ตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง วัฎจักรขาลงของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้มาตรการกีดดันทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ กนง. ได้ปรับลดการลงทุนภาครัฐลงเหลือ +6.1% YoY (เทียบกับ +6.6% ครั้งก่อน) ด้านเสถียรภาพทางด้านราคา กนง. คงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปไว้ที่ +1.0% YoY แต่ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเป็น +0.8% YoY (เทียบกับ +0.9% ครั้งก่อน)

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 1.3 หมื่นล้านบาท แต่ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาวประมาณ 8 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และเป็นการถือครองลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยสรุปนักลงทุนต่างชาติลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ณ สิ้นเดือนมี.ค. คงเหลือ 9.45 แสนล้านบาท ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2018 ที่ 9.86 แสนล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี ปรับเพิ่มขึ้น 1-5 bps ในขณะที่พันธบัตรระยะยาวของไทยได้รับผลกระทบจากการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจใหม่ที่มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอลง จึงกดดันให้ธนาคารกลางหลายแห่งรวมทั้ง กนง. มีท่าทีเปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินและอาจจะปรับไปสู่การผ่อนคลายนโยบายการเงินแทน ส่งผลให้ US Treasury อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ลดลงสู่แตะระดับ 2.39% ในช่วงปลายเดือน (เทียบกับสิ้นปี 2018 ที่ประมาณ 2.70%) จนเกิดภาวะ Inverted Yield Curve ในช่วงอายุพันธบัตร 1-6 เดือน เมื่อเทียบกับอายุ 10 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยปรับลดลงตาม โดยพันธบัตรรัฐบาลไทย อัตราผลตอบแทนในรุ่นอายุ 5 ปีขึ้นไปปรับลดลง 3-10 bps และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในรุ่นอายุ 10 ปีกลับมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าของสหรัฐฯ ในเดือนนี้อีกด้วย

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – มีนาคม 2562

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวลดลงเล็กน้อย -0.90% จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เป็นการเคลื่อนไหวในกรอบแคบ 1,610 – 1,650 จุด โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดค่อนข้างผันผวนในเดือนนี้ คือ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย ส่วนปัจจัยบวกจากต่างประเทศ ได้แก่ การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการชะลอการลดขนาดงบดุลของ FED

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในช่วงต้นเดือน จากระดับบริเวณ 1,655 ลงมาบริเวณ 1,620 ตลอดทั้งเดือน เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม 2562 ซึ่งผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการคือ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้จำนวนสส.แบบแบ่งเขตมากที่สุด และทางพรรคได้ออกมาประกาศว่าจะจัดตั้งรัฐบาล ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ในขณะที่เสียงสนับสนุนพรรคทั้งสองให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็มีความก่ำกึ่งกัน และ กกต.แถลงว่ามีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากกว่า 200 เรื่อง ทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีอยู่สูง แม้จะผ่านช่วงการเลือกตั้งมาแล้ว

สำหรับประเด็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากที่สหรัฐฯ เลื่อนวันประกาศใช้อัตราภาษีที่เก็บเพิ่มจากสินค้าจากขึ้นจาก 10% เป็น 25% ออกไป และปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจา โดยมีโอกาสสูงที่ทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ภายในสิ้นเดือนเมษายน ซึ่งถือเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก

นอกจากนี้ การประชุม FOMC ในวันที่ 19 – 20 มีนาคม ที่ผ่านมา FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม และส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ (จากเดิมคาดขึ้น 2 ครั้ง) และคงมุมมองปรับขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในปี 2563 อีกทั้งยังส่งสัญญาณจะชะลอการปรับลดงบดุลในเดือนพฤษภาคม จาก 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เหลือ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และจะยุติการปรับลดงบดุลในเดือนกันยายน 2562 ซึ่งเป็นการสะท้อนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เป็นสัญญาณบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม การที่ตัวเลขเศรษฐกิจออกชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.43% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 15 เดือน และได้ปรับลดลงมาต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งทางเศรษฐศาสตร์เรียกภาวะนี้เรียกว่า “Inverted Yield Curve” ที่มักเกิดก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำให้เกิดความกังวลมากในหมู่นักลงทุน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง

ในฝั่งยุโรปนั้น วันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา รัฐสภาอังกฤษมีมติโหวตไม่ผ่านข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เป็นครั้งที่ 3 ทำให้นางเทเรเซ่า เมย์ ต้องกลับไปคุยกับ EU ในวันที่ 12 เมษายนนี้ เพื่อกำหนดข้อตกลงใหม่ แต่หากไม่สามารถเจรจากันได้ ก็มีความเสี่ยงสูงที่อังกฤษจะต้องออกจาก EU โดยไม่มีข้อตกลง (No Deal Brexit) ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อทั้งประเทศอังกฤษและ EU ที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนมีนาคม 2562 SET Index ปิดที่ 1,638.65 จุด ปรับตัวลงจากระดับ 1,653.48 จุด หรือประมาณ -0.90% จากสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ +6.2% กลุ่มการแพทย์ +3.2% และกลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง +2.6% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเกษตร -7.6% กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -3.5% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -3.1% ในเดือนมีนาคมนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 16,397 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิ 5,719 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มการลงทุนนั้น คาดว่าจะมี Fund Flow ไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ แม้ว่าอาจจะไม่มั่นใจว่ารัฐบาลชุดใหม่นี้จะอยู่ได้นานเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่ทางคสช. ได้ทำไว้ คือ การมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่แม้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ยังคงต้องเดินหน้าแผนปฏิบัติการที่ได้ระบุไว้ ได้แก่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมสู่ยุค 4.0 เป็นต้น ดังนั้น แผนยุทธศาสตร์ชาตินี้น่าจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยยังเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า รวมถึงรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มที่จะเร่งออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเร่งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว โดยกองทุนยังคงเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตดี และมีมูลค่าที่เหมาะสม

บลจ.ทาลิส ได้รับความวางใจบริหารกองทุนส่วนบุคคล มสธ.

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ลงนามในสัญญาแต่งตั้งให้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัด (บลจ.ทาลิส) เป็นผู้จัดการกองทุนส่วนบุคคลเพื่อนำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยไปหาผลประโยชน์

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กุมภาพันธ์ 2562

ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติเป็นเอกฉันท์ (9-0) คงนโยบายการเงินเดิมและอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.75% ตามที่ตลาดคาด โดยแถลงการณ์หลังการประชุมระบุความเสี่ยงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศได้เพิ่มสูงขึ้น ทั้งความไม่แน่นอนของ Brexit และเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณชะลอลงมากกว่าที่คาดไว้ในตอนแรก โดยเฉพาะเศรษฐกิจยูโรโซน ส่งผลให้ BoE ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงมากเป็น 1.2% YoY จาก 1.7% YoY ในประมาณการครั้งก่อนในเดือน พ.ย. 2018 ทางด้านเงินเฟ้อ BoE ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อปีนี้ลงเล็กน้อย เป็น 2.0% YoY โดยมองว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงต่ำกว่าเป้าหมายที่ 2% ในระยะใกล้ตามการปรับลดลงของราคาน้ำมัน ก่อนที่จะทยอยปรับขึ้นเกินเป้าหมายในช่วงที่เหลือของปี ทั้งนี้ คณะกรรมการยังคงระบุว่าหากพัฒนาการทางเศรษฐกิจเป็นไปตามที่ประเมินไว้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็มีความจำเป็นเพื่อให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% นอกจากนี้ นาย Mark Carney ผู้ว่า BoE กล่าวว่าความไม่แน่นอนของ Brexit ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมาก ทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และมองความเสี่ยงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU ไปแบบไร้ข้อตกลงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนาย Carney ได้กล่าวเตือนว่า เศรษฐกิจอังกฤษยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอันจะส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงาน GDP 4Q18 ขยายตัว +3.7% YoY ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด (+3.6% ตลาด, +3.2% ไตรมาสก่อน) จากอุปสงค์ในประเทศที่ขยายตัวได้ดี ในขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัวเล็กน้อยหลังจากหดตัวในไตรมาสก่อน ส่งผลให้ทั้งปี 2018 GDP ขยายตัว +4.1% YoY (+4.0% ปี 2017) อุปสงค์ในประเทศขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่งนำโดยการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว +5.3% YoY (+5.2% ไตรมาสก่อน) และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ +5.5% YoY (+3.8% ไตรมาสก่อน) การส่งออกสินค้าและบริการกลับมาขยายตัว +0.6% YoY หลังจากการหดตัวในไตรมาสก่อนที่หดตัว -0.9% YoY ตามการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติของประเทศคู่ค้าในไตรมาสก่อน รวมทั้งการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ในขณะที่การนำเข้าสินค้าและบริการชะลอตัวลงที่ +5.6% YoY (+11.0% ไตรมาสก่อน) สศช. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัวได้ 3.5%–4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ

ทางด้านคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 4 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องตามแรงส่งของอุปสงค์ในประเทศ แม้อุปสงค์ต่างประเทศชะลอลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทยอยปรับสูงขึ้นใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเป็นสำคัญ โดยค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับสกุลเงินของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และสกุลเงินในภูมิภาค ในระยะข้างหน้า อัตราแลกเปลี่ยนยังมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนในต่างประเทศ คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด

สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้นเพียง 158 ล้านบาท แต่ขายสุทธิพันธบัตรระยะยาว 2.9 พันล้านบาท เมื่อรวมกับพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้วเป็นการถือครองลดลงประมาณ 14.33 พันล้านบาท ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนัก แต่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวโดยเฉพาะรุ่นอายุ 5-10 ปีขึ้นไปกลับปรับเพิ่มขึ้น 0.07-0.09% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุยาวมาก เช่น รุ่นอายุ 48 ปีที่มีการประมูลในช่วงกลางเดือน ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม อัตราผลตอบแทนจากการประมูลจึงต่ำกว่า Indicative Yield ของวันก่อนหน้าการประมูล และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นใกใล้เคียงปรับลดลงตามด้วย

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ