SSF – RMF PROMOTION

คว้าโอกาสการลงทุนในหุ้นไทย ต้อนรับการเปิดประเทศ และ เติบโตไปกับหุ้นสหรัฐ ผู้นำด้านนวัตกรรม พร้อมรับ Promotion “Fund Back”* ต่อยอดเงินลงทุน

ภาวะตลาดหุ้นไทย – ตุลาคม 2564

SET Index ปรับตัวขึ้น +1.1% สู่ระดับ 1,623.43 จุด จากการคลายความกังวลเรื่องการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา การผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่ต้องกักตัว ในวันที่ 1 พฤศจิกายน แต่ตลาดยังมีแรงกดดันจากประเด็น QE Tapering อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่ส่งผลต่อตลาด คือ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้เป็นการชั่วคราว และประธานาธิบดี Joe Biden ลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายทันก่อนกำหนดในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ซึ่งจะช่วยให้สหรัฐอเมริกาสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2564 ถือเป็นจิตวิทยาทางบวกต่อการลงทุน แต่ประเด็นหลักที่ตลาดให้ความสนใจอีกประเด็น คือ QE Tapering โดยประธาน FED ส่งสัญญาณว่า FED จะปรับลดการซื้อสินทรัพย์ในเดือนหน้า แต่ยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากการจ้างงานยังคงต่ำกว่าช่วงก่อน Covid-19 อยู่ประมาณ 5 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงนั้น การประเมินจะสิ้นสุดในปีหน้า การทำ QE Tapering ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ส่งผลให้ Fund Flows ในภูมิภาคเอเชียค่อนข้างผันผวน โดยในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นในตลาดเอเชีย -3.89 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเกิดแรงเทขายอย่างหนักในภูมิภาคเอเชียเหนือ ในประเทศไต้หวัน และประเทศเกาหลีใต้ ในทางกลับกัน นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิในประเทศกลุ่ม TIPs ทุกประเทศ โดยมีเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอินโดนีเซียมากที่สุด ตามด้วยตลาดหุ้นไทย

ส่วนปัจจัยภายในประเทศได้รับแรงกระตุ้นจากการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ดีขึ้น และตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่ลดระดับลง ทำให้มีการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคมมีการปรับเวลาเคอร์ฟิวลงเป็น 5 ทุ่มถึงตี 3 เริ่ม 16 ตุลาคมที่ผ่านมา สามารถจัดงานแสดงสินค้า-ศูนย์ประชุม-จัดนิทรรศการได้ ให้สนามกีฬาทุกประเภท-สวนสาธารณะเปิดได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นบวกจากยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาที่มีผลการทดลองว่ามีประสิทธิภาพในการรักษา Covid-19 โดยกระทรวงสาธารณสุขคาดว่าจะสามารถนำเข้ายาโมลนูพิราเวียร์ได้ภายในเดือนธันวาคม 2564 – มกราคม 2565 เป็นการเพิ่มความคาดหวังเชิงบวกที่จะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดภายในประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยเป็นการรับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยแบบไม่ต้องกักตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) คนไทยและต่างชาติที่เดินทางจาก 45 ประเทศ + 1 เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เข้ามาโดยไม่จำเป็นต้องมีการกักตัว และสามารถเดินทางได้ทุกจังหวัด 2) ผู้ที่เดินทางมาจากประเทศนอกเหนือจากข้อ 1 จะต้องเดินทางเข้ามาในพื้นที่นำร่อง 17 จังหวัด (พื้นที่สีฟ้า) และอยู่ 7 วัน เมื่อครบแล้ว จึงจะสามารถเดินทางไปยังพื้นที่อื่นได้ 3) กรณีไม่เข้าเกณฑ์ทั้ง 2 ข้อ ต้องกักตัว 7-10 วัน นอกจากนี้ มาตรการเคอร์ฟิวจะถูกยกเลิกในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทำให้ส่งผลในเชิงบวกต่อกลุ่ม Re-Opening อย่างต่อเนื่อง และทำให้กลุ่มอิงการท่องเที่ยวฟื้นตัว

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนตุลาคม 2564 SET Index ปิดที่ 1,623.43 จุดปรับตัวขึ้น 17.75 จุดหรือ +1.1% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีอยู่ที่ราว 50 จุดเท่านั้น เนื่องจากการปรับตัวขึ้นกระจุกตัวในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น กลุ่มพลังงานที่ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นแรง และกลุ่มธนาคารที่รายงานงบไตรมาส 3 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองได้ปรับเพิ่มขึ้นก่อนหน้าในระดับหนึ่งแล้ว ขณะที่กลุ่มอื่น ๆ ยังคงรอปัจจัยสนับสนุนใหม่ นอกจากนี้ ยังมีความกังวลต่อผลประกอบการไตรมาส 3 ของภาค Real Sector ที่มีแนวโน้มออกมาไม่ดีนัก จากผลกระทบจากการ Lockdown ในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยกดดันให้เกิดแรงขายทำกำไรหุ้นไทยในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 6.1% กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 4.2% และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ 3.9% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -6.7% กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ -3.5% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -1.6% ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 5,855 ล้านบาท และ 15,886 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนทั่วไปในประเทศขายหุ้นไทยสุทธิ 18,063 ล้านบาทและ 3,678 ล้านบาท ตามลำดับ โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 18,582 ล้านบาท และ 101,242 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 59,005 ล้านบาทและ 60,819 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิติดต่อเป็นเดือนที่ 3 โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน อสังหาฯ และขนส่ง แต่ลดการถือครองในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ICT และปิโตรเคมี ขณะที่ Performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex.

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – ตุลาคม 2564

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ด้วยมติ 8 : 1 คะแนน โดยคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.1%, ควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ใกล้ศูนย์ และคงมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ 1 ท่านลงมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสนับสนุนการลงทุนในสินทรัพย์คงทนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทั้งนี้ ในส่วนของมาตรการซื้อสินทรัพย์ คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงการซื้อ ETFs ไม่เกิน 12 ล้านล้านเยนและ J-REITs ไม่เกิน 1.8 แสนล้านเยนต่อปี และซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนไม่เกิน 20 ล้านล้านเยนถึงมีนาคม 2022 โดย BOJ ยังส่งสัญญาณว่าจะคงมาตรการซื้อสินทรัพย์และควบคุมอัตราผลตอบแทนไว้ยาวนาน จนกว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 2% อย่างมีเสถียรภาพ และระบุว่าพร้อมจะผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพิ่มเติมหากจำเป็น นอกจากนี้ BOJ ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.4%YoY จากประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ 3.8%YoY และสำหรับปี 2022 คาดการณ์ว่าจะเติบโต 2.9%YoY จากเดิมที่ 2.7%YoY เนื่องจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กระทบการบริโภคภาคบริการ ในขณะที่ภาวะชะงักงันของภาคอุปทานกระทบการส่งออกและภาคการผลิต ด้านเงินเฟ้อ BOJ ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ลง จากประมาณการในเดือนกรกฎาคมที่ 0.6%YoY เป็น 0.0%YoY เนื่องจากผลของการปรับฐาน และการปรับลดค่าบริการโทรศัพท์ ทั้งนี้ ในปี 2022 บีโอเจคงคาดการณ์เงินเฟ้อที่ 0.9%YoY

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย แม้จะยังคงชะลอการซื้อสินทรัพย์ในไตรมาสที่ 4 จากเดิมที่ซื้อราว 1.8 และ 1.7 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ในช่วงไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ECB ซื้อสินทรัพย์ราว 1.5 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวดี ความเชื่อมั่นและการบริโภคภาคเอกชนยังคงแข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับภาวะชะงักงันด้านอุปทานในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ ECB ประเมินว่าเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นและอยู่ยาวนานกว่าที่คาด จากระดับ 3.4% ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี เนื่องจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ภาคอุปสงค์ที่ฟื้นตัวรวดเร็วกว่าภาคอุปทานที่ได้รับผลกระทบจากภาวะคอขวดในภาคอุปทาน และผลจากฐานที่ต่ำจากการปรับสิ้นสุดการลดภาษีมูลค่าเพิ่มในเยอรมนี อย่างไรก็ตาม เงินเฟ้อมีแนวโน้มจะชะลอลงแม้ยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2022 และคาดการณ์ว่าจะกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ราว 2% ในระยะปานกลางและระยะยาว โดย ECB คงการผ่อนคลายทางการเงิน โดยคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit facility) ที่ 0.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal lending facility) ที่ 0.25% และอัตราดอกเบี้ย Main refinancing operations ที่ 0.00% พร้อมทั้งคงวงเงินซื้อสินทรัพย์มาตรการ Asset Purchase Program (APP) ที่ 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ที่ 1.85 ล้านล้านยูโร ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2022 ตามเดิม

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุโดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว จากปัจจัยด้านราคาพลังงาน นโยบายเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง และมุมมองจากนักลงทุนว่าธปท. คงไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงไปอีก อย่างไรก็ตาม ทิศทางการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในเดือนนี้เป็นการซื้อสุทธิทั้งพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะยาว โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทยรวม 8.9 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 4.0 พันล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 5.9 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยประมาณ 9.4 แสนล้านบาท นอกจากนี้การถือครองของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นเดือนตุลาคม ยังคงเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 8.4 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กันยายน 2564

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงการผ่อนคลายทางการเงิน โดยคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit Facility) -0.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal Lending Facility) 0.25% และอัตราดอกเบี้ย Main Refinancing Operations 0.00% พร้อมทั้งคงวงเงินซื้อสินทรัพย์มาตรการ Asset Purchase Program (APP) ที่ 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และมาตรการ Pandemic

Emergency Purchase Program (PEPP) ที่ 1.85 ล้านล้านยูโร แต่ส่งสัญญาณชะลอความเร่งในการซื้อสินทรัพย์ จากเดิมที่ซื้อเฉลี่ยประมาณ 1.8 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 1.7 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ในช่วงไตรมาสที่ 3 เนื่องจากแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ECB จึงปรับขึ้นคาดการณ์ GDP โดยคาดว่าในปี 2021 จะขยายตัว 5.0%yoy จากเดิมที่คาด 4.6%yoy โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มาตรการกระตุ้นทางการคลัง และแรงหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ECB ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 2022 ลงเล็กน้อย โดยคาดว่าจะขยายตัว 4.6%yoy จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.7%yoy นอกจากนี้ ECB ยังปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้เป็น 2.2% จากเดิม 1.9% เนื่องจากเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมที่พุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 3.0% จากราคาพลังงานและต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นกระทบการชะงักงันในห่วงโซ่อุปทาน พร้อมทั้งปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีหน้าเป็น 1.7% จาก 1.5% อย่างไรก็ตาม ECB ยังคงประเมินว่าเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นเป็นปัจจัยชั่วคราว

ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐ (FOMC) ในเดือนนี้ มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.00-0.25% และคงมาตรการซื้อสินทรัพย์ที่เดือนละ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ตามเดิม อย่างไรก็ตาม ประธาน FED ได้แถลงหลังการประชุมว่าจะประกาศลด QE อย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ และมีแนวโน้มว่าจะทยอยลด QE ให้สิ้นสุดในช่วงกลางปี 2022 โดยประเมินจากภาพรวมเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงฟื้นตัวเข้าใกล้สู่เป้าหมาย ในขณะที่ตลาดแรงงานฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้จะเฟดจะยังประเมินว่าเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวก็ตาม นอกจากนี้ยังมีสมาชิก FED หลายท่านให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าเพิ่มมากขึ้น เมื่อพิจารณาจาก Dot Plot ในปี 2022 สมาชิกมีมุมมองคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 9 เสียง ลดลงจากครั้งก่อนที่ 11 เสียง ในขณะที่มุมมองขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 9 เสียง จาก 7 เสียง สำหรับปี 2023 สมาชิกคาดการณ์ถึงการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ทางด้านตัวเลขเศรษฐกิจ FED ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ในปีนี้ลงจาก 7.0% เป็น 5.9% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ปีหน้าเป็น 3.8% จากเดิมที่ 3.3% ทั้งนี้ FED ยังคงประเมินว่าเงินเฟ้อเป็นปัจจัยชั่วคราว แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้เป็น 4.2% จาก 3.4% ในขณะที่คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 2.2% ในปี 2022 และ 2023 และอยู่ที่ 2.1% ในปี 2024 นอกจากนี้ FED ยังปรับคาดการณ์อัตราว่างงานในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% จาก 4.5% สืบเนื่องจากความเร่งในการฟื้นตัวของตลาดแรงงานชะลอลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เนื่องจากเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวจากผลบวกของการกระจายวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด และประเมินว่ามาตรการทางการเงินมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งอยู่ในระดับต่ำแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยคงคาดการณ์ GDP ที่ 0.7% ในปีนี้และเพิ่มคาดการณ์ GDP ในปีหน้าเป็น 3.9% จากเดิม 3.7% จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าที่มีแนวโน้มชะลอลง ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศไทยในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวใกล้เคียงกับประมาณการเดิมในเดือนสิงหาคม และในปีหน้ามีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงกับประมาณการในเดือนมิถุนายน จากแรงหนุนการใช้จ่ายภายในประเทศ ในขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มชะลอลงเล็กน้อยจากภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และเซมิคอนดักเตอร์ ด้านจำนวนนักท่องเที่ยวประเมินว่าจะใกล้เคียงกับประมาณการในเดือนก่อน และมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ในขณะที่ตลาดแรงงานยังคงเปราะบาง ทั้งนี้ แนวโน้มการแพร่ระบาดยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะถัดไปจำเป็นต้องพึ่งพาการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ และการสนับสนุนจากนโยบายการคลังด้วย ด้านเงินเฟ้อ มีแนวโน้มชะลอลง โดย ธปท. ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้เป็น 1.0% จากประมาณการในเดือนมิถุนายนที่ 1.2% จากอุปสงค์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ และปรับเพิ่มเงินเฟ้อในปีหน้าเป็น 1.4% จากเดิมที่ 1.2% โดยในระยะปานกลาง ธปท. คาดว่าเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นในทุกช่วงอายุโดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ตามทิศทางของตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีการเปลี่ยนมุมมองของนักลงทุนว่า FED กำลังจะลดปริมาณ QE และมีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ในปีหน้า นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในเดือนนี้เปลี่ยนมาเป็นการขายสุทธิทั้งพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะยาว โดยในเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทยรวม 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขายสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 2 หมื่นล้านบาท ขายสุทธิพันธบัตรระยะยาว 1.6 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยลดลงเหลือประมาณ 9.2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นเดือนกันยายน ยังคงเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดหุ้นไทย – กันยายน 2564

SET Index ปรับตัวลง -2.0% สู่ระดับ 1,605.68 จุด โดยปัจจัยภายนอกเป็นแรงกดดันตลาด ประกอบด้วยเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของประเทศจีน การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เกี่ยวกับ QE Tapering ขณะที่สถานการณ์ COVID-19 ในประเทศดีขึ้น ส่งผลให้มีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เพิ่มเติม

ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่กดดันตลาด คือ การผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งบริษัท เอเวอร์แกรนด์ มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 2 งวดในเดือนนี้ ในวันที่ 23 กันยายน มูลค่า 83.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 29 กันยายน มูลค่า 47.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัท เอเวอร์แกรนด์ ผิดนัดชำระหนี้ทั้ง 2 งวด ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ส่งสัญญาณที่จะทยอยปรับลดวงเงินของโครงการ PEPP ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2021 โดย ECB มีการปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2021 ขึ้นสู่ 5% จากคาดการณ์เดิมที่ 4.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปี 2021 ปรับเพิ่มเป็น 2.2% ก่อนที่จะชะลอตัวลงสู่ 1.7% ในปี 2022 และ 1.4% ในปี 2023 ขณะที่ผลการประชุม FOMC มีมติคงอัตราดอกเบี้ย พร้อมส่งสัญญาณว่าจะปรับลดวงเงิน QE ในไม่ช้า ขณะที่ Dot Plots แสดงให้เห็นว่ากรรมการ FED สนับสนุนให้มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ซึ่งเร็วกว่าคาดการณ์เดิมในปี 2023 โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดคาดการณ์ว่า FED จะประกาศ Tapering ในการประชุมเดือนพฤศจิกายน 2021 และมีในผลเดือนธันวาคม 2021 และคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2023 โดยปรับดอกเบี้ยขึ้นทุก ๆ 6 เดือน และมีความเป็นไปได้ที่อาจจะปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้งต่อปี ในภาพรวม การทำ QE Tapering ไม่ได้มีสัญญาณเร่งตัว แต่ภาพการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร่งตัวอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธาน FED ส่งสัญญาณว่าสหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสู่ระดับ 4% ภายในสิ้นปีนี้ ปัจจัยทั้งหมดทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าสู่ระดับ 94.3 จุดและ US Bond Yield 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 1.53% กดดันสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกและทำให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากทวีปเอเชีย

ส่วนปัจจัยภายในประเทศ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ดีขึ้น เห็นได้จากยอดผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ผ่อนคลายมาตรการ Lockdown เพิ่มเติม ให้บางธุรกิจกลับมาเปิดดำเนินได้ ประกอบด้วย ร้านเสริมสวย ธุรกิจร้านนวด ร้านสปา สถานเสริมความงาม โรงภาพยนตร์ ขณะที่ร้านอาหารสามารถเล่นดนตรีได้ตามปกติ นอกจากนี้ ได้ปรับลดระยะเวลามาตรการเคอร์ฟิวลง เป็น ระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ขณะที่ห้างสรรพสินค้าปรับเวลาเปิดบริการได้ถึง 21.00 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม รวมถึงมีการต่อพรก.ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือน จนถึงเดือนพฤศจิกายน ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% โดยย้ำว่ามาตรการด้านการเงินจะมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำอยู่แล้ว โดยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจไทย จากการกระจายวัคซีนและผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ที่เร็วกว่าคาด และคงการคาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ระดับ 0.7% ขณะที่ปี 2022 ปรับกลับมาที่ระดับ 3.9% จากการคาดการณ์ก่อนหน้าที่ระดับ 3.7%

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนกันยายน 2564 SET Index ปิดที่ 1,605.68 ปรับตัวลง 33.07 จุดหรือ -2.0% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มธนาคาร 6.8% (โดยได้รับผลกระทบหลักจากการประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจของ SCB) กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ 1.6% และกลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 1.5% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -14.7% กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ -11.9% กลุ่มธุรกิจการเกษตร -6.6% ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา บัญชีหลักทรัพย์ นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 1,378 ล้านบาท 11,137 ล้านบาท และ 2,809 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายหุ้นไทยสุทธิ 15,325 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 12,727 ล้านบาท และ 104,920 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 40,942 ล้านบาทและ 76,705 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิติดต่อเป็นเดือนที่ 2 โดยมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ICT ปิโตรเคมี แต่ลดการถือครองในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และขนส่ง ขณะที่ Performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex.

ภาวะตลาดหุ้นไทย – สิงหาคม 2564

SET Index ปรับตัวขึ้น +7.7% สู่ระดับ 1,638.75 จุด เป็นการปรับตัวลงแรงในช่วงต้นเดือน จากปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับความกังวลเรื่องการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ของ FED และการระบาดของ COVID-19 ในประเทศ แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือน SET Index ปรับตัวขึ้นแรงจากการที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายวันที่ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดต่อวัน ตัวเลขผู้หายป่วยรายวันที่เพิ่มมากกว่าผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน และการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown

ในช่วงต้นเดือน SET Index ได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐอเมริกาเปิดเผย FOMC Minutes สำหรับการประชุมเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่ากรรมการ FED ส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ในปีนี้ ซึ่งบางส่วนสนับสนุนให้เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2564 สะท้อนมุมมองหลักของ FED ที่มีแผนจะประกาศ QE Tapering ในเดือนพฤศจิกายน 2564 เพื่อจะได้มีผลในปีนี้ เร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะประกาศ QE Tapering เดือนธันวาคม 2564 และมีผลเดือนมกราคม 2565 จากมุมมองล่าสุดของ FED ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าอย่างรวดเร็ว กดดันให้ Fund Flow ไหลออกจากทวีปเอเชีย รวมถึงประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ถ้อยแถลงของประธาน FED ที่การประชุม Jackson Hole ไม่ Hawkish มากนัก โดยเผยว่า FED มีแนวโน้มที่จะปรับลดวงเงิน QE ก่อนสิ้นปีนี้จริง แต่การที่ FED จะปรับลด QE นั้น ไม่ได้หมายความว่า FED จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

การฟื้นตัวของ SET Index ในช่วงครึ่งหลังของเดือน เกิดจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น หลังจากยอดผู้ติดเชื้อรายวันลดลงระดับลงสู่ 1.5 หมื่นราย/วัน ขณะที่ยอดผู้หายป่วยกลับบ้านสูงกว่ายอดผู้ติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ประกาศผ่อนคลายมาตรการ Lockdown โดยอนุญาตให้เปิดกิจการ/กิจกรรมเพิ่มเติม ได้แก่ การเดินทางข้ามจังหวัด ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านเสริมสวย ร้านนวด (เฉพาะนวดเท้า) การใช้อาคารสถานศึกษา และการเปิดใช้สนามกีฬา (ยกเว้นฟิตเนส) โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน เป็นต้นไป เป็นผลทำให้ SET Index และหุ้นกลุ่ม Re-opening ปรับตัวขึ้นได้ดี โดยประเทศไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสม (ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564) ณ วันที่ 31 สิงหาคม อยู่ที่ 1,161,200 คน เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 568,424 คน ขณะที่ผู้หายป่วยสะสมอยู่ที่ 974,418 คน มีผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัว 176,137 คน

สรุปภาวะตลาดหุ้นช่วงเดือนสิงหาคม 2564 SET Index ปิดที่ 1,638.75 จุด ปรับตัวขึ้น 116.83 จุด หรือ +7.7% จากสิ้นเดือนก่อนหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 14% กลุ่มธนาคาร 13% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 11% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด (รวมเงินปันผล) ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ -0.8% กลุ่มการแพทย์ 1.8% กลุ่มยานยนต์ 2.8% ซึ่งในเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนสถาบันในประเทศ บัญชีหลักทรัพย์ และนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยสุทธิ 18,730.28 ล้านบาท, 1,88.47 ล้านบาท และ 5,439.71 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่นักลงทุนทั่วไปในประเทศขายหุ้นไทยสุทธิ 26,058.45 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2564 บัญชีหลักทรัพย์และนักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อหุ้นไทยสุทธิ 11,349.37 ล้านบาท และ 102,110.50 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสุทธิ 25,617.32 ล้านบาทและ 87,842.55 ล้านบาท ตามลำดับ จะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยสุทธิในเดือนนี้หลังจากขายสุทธิติดต่อกันมาเป็นเวลา 7 เดือน โดยนักลงทุนต่างชาติมีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน ปิโตรเคมี และขนส่ง แต่ลดการถือครองในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ ICT ขณะที่ Performance ของดัชนี MSCI Thailand ดีกว่า MSCI APAC ex.

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – สิงหาคม 2564

ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คงนโยบายการเงินเดิมตามคาดการณ์ของตลาด โดยมีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.1% และมีมติ 7-1 คงวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่อัตรา GBP875bn โดยมีกรรมการท่านหนึ่งสนับสนุนให้ลดวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงเป็น GBP830bn BOE มีมุมมองต่อสภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นในระยะกลางและมองว่าจะมีอุปสงค์ส่วนเกินเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีถัดไป ซึ่งจะหนุนให้นโยบายการเงินต้องมีความตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะจากเงินเฟ้อที่คาดจะพุ่งขึ้นสูงและอยู่เหนือระดับเป้าหมาย 2% ในระยะกลาง และคาดเงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 4.0% ในไตรมาส 4 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่เคยคาดไว้ที่ 2.5% ในเดือนพ.ค. จากรายงานเงินเฟ้อที่ออกมาขยายตัวสูงกว่าคาด (2.5% เดือน มิ.ย.) และผลของการเปิดเศรษฐกิจ รวมถึงต้นทุนของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี BOE มองว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยคาดเงินเฟ้อจะชะลอลงเป็น 2.5% ในปี 2022 (เพิ่มขึ้นจากที่เคยคาด 2.0%) และชะลอลงเป็น 2.0% ในปี 2023 ผู้ว่าฯ BOE ระบุว่าแม้การเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยชั่วคราว แต่การที่เงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% ได้ในระยะกลางนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องลดมาตรการผ่อนคลายบางส่วน ส่วนด้านประมาณการเศรษฐกิจ ได้มีการคงคาดการณ์ GDP ปีนี้ไว้ที่ 7.25% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ปี 2022 ขึ้นเป็น 6.0% จากที่คาด 5.0% ในเดือนพ.ค. นอกจากนี้ BOE คาดว่าอัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 4.75% ในปีนี้ ลดลงจากที่คาด 5.0% ในเดือน พ.ค. และคาดจะลดลงอยู่ที่ระดับ 4.25% ในปี 2023 (เท่ากับคาดการณ์เดิม)

รายงานการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ของเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาชี้ว่า คณะกรรมการส่วนใหญ่มีความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง และเห็นควรให้เริ่มลด QE ภายในปีนี้ แต่ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เนื่องจากคณะกรรมการยังคงต้องการเห็นการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน โดยประธาน FED ได้แสดงปาฐกถาในงานสัมมนาประจำปีที่แจ็คสันโฮล สนับสนุนการลด QE ในปีนี้ เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวเร็วกว่าคาดการณ์ จน GDP สหรัฐฯ พุ่งเหนือระดับก่อนเกิดโควิด-19 แล้ว อย่างไรก็ตาม ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวช้ากว่าเศรษฐกิจ ปัจจุบันอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 5.4% ของกำลังแรงงานรวม และเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% ไม่สามารถมองข้ามได้ แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงและเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ดังนั้น จึงเห็นควรเริ่มลด QE ในปีนี้ แม้ในระยะสั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า โพเวลส่งสัญญาณว่า การขึ้นดอกเบี้ยยังห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องกับการลด QE เนื่องจาก FED ใช้วิธีที่แตกต่างกันในการพิจารณานโยบายทั้งสองแบบ FED จะยังคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับปัจจุบันจนกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะกลับเข้าสู่ระดับการจ้างงานเต็มที่ และเงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% ซึ่งโพเวลระบุว่ายังคงมีปัจจัยอีกมาก รวมถึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าการจ้างงานจะเข้าสู่ระดับสูงสุดตามที่ FED ตั้งเป้าหมายไว้

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 4 ต่อ 2 เสียงให้คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% เนื่องจากมองว่ามาตรการทางการเงินมีประสิทธิผลมากกว่าการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งอยู่ในระดับต่ำแล้ว ในขณะที่คณะกรรมการอีก 2 ท่านเห็นว่าควรลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เพื่อเป็นมาตรการเสริมในการช่วยพยุงเศรษฐกิจและรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงสูงในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ คณะกรรมการ 1 ท่านลาประชุม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดคาดการณ์จีดีพีมาอยู่ที่ 0.7% ปี 2021 และ 3.7% ในปี 2022 จากประมาณการเดิม ณ เดือนมิถุนายนที่ 1.8% และ 3.9% ตามลำดับ จากการระบาดของไวรัสระลอกใหม่ส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมินไว้และยังมีความเสี่ยงสำคัญจากการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยประเมินว่า ในกรณีฐานจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเพียง 1.5 แสนคน จากเดิมที่คาด 7 แสนคน ด้านตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ จาก พรก. กู้เงินฉบับล่าสุด และการส่งออกที่ยังคงขยายตัวดีต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธปท. ยังเห็นว่ามาตรการภาครัฐและการประสานนโยบายมีความสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมการระบาดไม่ให้ยืดเยื้อ

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 1 ปีไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนัก ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวไม่มีทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนนัก ท่ามกลางความกังวลสภาพเศรษฐกิจที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในระลอกนี้ ในขณะที่ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี ทำให้ตลาดมีความกังวลถึงโอกาสที่ FED จะลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินลง ทำให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวปรับขึ้นเล็กน้อย ในเดือนนี้นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทย เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึง 4.76 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 2.92 หมื่นล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 1.84 หมื่นล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยรวมประมาณ 9.7 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 1.12 แสนล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทย – กรกฎาคม 2564

การประชุมนโยบายการเงินในช่วงกลางเดือนของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้ปรับลดประมาณ GDP ปี 2021 ลงมาที่ 3.8% จาก 4.0% ที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ขณะที่เพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขึ้นมาที่ 0.6% จาก 0.1% และประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อระยะปานกลางถึงยาวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ BOJ มีมาตรการสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนถึงปีงบประมาณ 2030 ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ย 0% อายุ 1 ปีแก่สถาบันการเงินเพื่อปล่อยกู้และสนับสนุนการลงทุนด้านเศรษฐกิจสีเขียว โดยสามารถต่ออายุได้ไม่จำกัด ขณะที่ตลาดประเมินว่า BOJ จะสนับสนุนดอกเบี้ยบางส่วนแก่สถาบันการเงิน ทางด้านสัญญาณนโยบายการเงิน BOJ ยังคงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ -0.1% ควบคุมอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ใกล้ศูนย์และคงมาตรการช่วยเหลือด้านสินเชื่อ ด้านมาตรการซื้อสินทรัพย์ คงกำหนดการซื้อ ETFs ไม่เกิน 12 ล้านล้านเยน และ J-REITs ไม่เกิน 1.8 แสนล้านเยนต่อปี และซื้อตราสารหนี้ภาคเอกชนไม่เกิน 20 ล้านล้านเยนถึงกันยายนปีนี้ ทั้งนี้ BOJ ส่งสัญญาณจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อระยะกลางโดยกำหนดไว้ที่ 2% จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใกล้เคียงแต่ต่ำกว่า 2% พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อจะเข้าสู่เป้าหมายเงินเฟ้อระยะกลางที่ 2% อย่างมีเสถียรภาพ สะท้อนว่า ECB จะยอมให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงเกินกว่า 2% ได้เป็นการชั่วคราว โดย ECB จะคงปริมาณการซื้อสินทรัพย์ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2022 เป็นอย่างน้อยหรือจนกว่าวิกฤตโควิดจะจบลง ในไตรมาสนี้ ECB เพิ่มขนาดการซื้อสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญที่ 1.4 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ในไตรมาสแรก และ 1.8 หมื่นล้านยูโรต่อสัปดาห์ในไตรมาสที่สองของปีตามลำดับ และคงการผ่อนคลายทางการเงิน โดยคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (Deposit facility) ที่ -0.5% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (Marginal lending facility) 0.25% และอัตราดอกเบี้ย Main refinancing operations 0.00% พร้อมทั้งคงวงเงินซื้อสินทรัพย์มาตรการ Asset Purchase Program (APP) ที่ 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และมาตรการ Pandemic Emergency Purchase Program (PEPP) ที่ 1.85 ล้านล้านยูโร

ในช่วงปลายเดือนมีการประชุมนโยบายการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) โดยมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.00%-0.25% และคงมาตรการซื้อสินทรัพย์ที่เดือนละ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อไป จนกว่าการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อจะมีพัฒนาที่ชัดเจนตามเป้าหมาย นายเจอโรม โพเวล ประธานเฟดแถลงหลังการประชุมว่า อีกสักพักกว่าจะเริ่มลดขนาดมาตรการซื้อสินทรัพย์เนื่องจากแม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ถึงระดับที่เฟดตั้งเป้าหมายไว้โดยเฉพาะตลาดแรงงานและภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มากที่สุด พร้อมกันนี้ยังมองว่าการระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลต้าเป็นประเด็นที่ยังไม่น่าไว้วางใจ แม้ว่าปัจจุบันสหรัฐฯ จะฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มไปแล้วถึง 57% และได้รับวัคซีนครบจำนวนแล้ว 49% คณะกรรมการ FOMC จึงจะประเมินพัฒนาของเศรษฐกิจในการประชุมครั้งต่อๆ ไป

ภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยในเดือนนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 1 ปีไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงนัก ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวช่วงอายุ 10-30 ปีปรับลดลงมา 18-25 Bps ตามความกังวลสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และอยู่ในทิศทางเดียวกับตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ที่อัตราผลตอบแทนระยะยาวปรับลดลงแรงอีกครั้งหลังมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้าเพิ่มขึ้น โดยระหว่างเดือนอัตราผลตอบแทน 10 ปี ลดลงไปต่ำสุดที่ 1.19% ก่อนที่จะปิดสิ้นเดือนที่ 1.24% ในเดือนกรกฎาคม 2564 นักลงทุนต่างชาติลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยลง 8.2 พันล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อสุทธิพันธบัตรระยะสั้น 3.1 พันล้านบาท ซื้อสุทธิพันธบัตรระยะยาว 6.3 พันล้านบาท เมื่อหักพันธบัตรที่ครบกำหนดแล้ว คงเหลือการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยรวมประมาณ 9.15 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 5.8 หมื่นล้านบาท

ตารางเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยและสหรัฐ